มอง “3 มง” ย้อนหลัง 3 “ความสุข” ที่แตกต่าง

ผมเคยเขียนกราบเรียนท่านผู้อ่านไว้บ้างแล้วว่า ปี พ.ศ.2508 ที่ “คุณปุ๊ก” หรืออาภัสรา หงสกุล ได้ครองตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สนั้น เป็นช่วงท้ายๆ ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 (พ.ศ.2504–2509) ซึ่งเป็นแผนพัฒนาฯ ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของประเทศไทย

GDP ไทยในช่วงแผนพัฒนาฯ 1 ขยายตัวในอัตราสูงเฉลี่ยถึงร้อยละ 8 ต่อปี เป็นยุคที่รัฐบาลใน พ.ศ.ดังกล่าว (จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี) ใช้คำขวัญว่า “นํ้าไหลไฟสว่างทางดีมีงานทำ”

การได้มงของอาภัสราจึงเท่ากับเป็น “ของขวัญ” แห่งความสุขที่ประเทศไทยเรายังไม่เคยได้รับมาก่อนจากเวทีนางงามระดับโลก ถือว่าเป็นการช่วยเติมเต็มความสุขของคนไทยในแผนพัฒนาฯฉบับที่ 1 ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

สำหรับ “น้องปุ๋ย” หรือ ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ซึ่งได้ตำแหน่งนางงามจักรวาลเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2531 ย่างเข้าสู่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2530-2534) อันเป็นช่วงเวลาที่เรียกกันว่า “โชติช่วงชัชวาล” ที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ท่านสร้างไว้กับประเทศไทย

วันที่ปุ๋ยรับตำแหน่งป๋าเปรมยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำแต่ไม่ขอรับตำแหน่งที่สภาจะเชิญท่านกลับไปอีก โดยกล่าวคำว่า “พอแล้ว” ตำแหน่งนายกฯจึงเป็นของ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และเป็นผู้กล่าว ต้อนรับในวันน้องปุ๋ยกลับบ้านเดือนสิงหาคม

นี่ก็เช่นเดียวกัน ช่วงเวลาที่ปุ๋ยได้ตำแหน่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยและคนไทยกำลังมีความสุขสุดๆ หลังจากประเทศไทยเอาชนะวิกฤติเศรษฐกิจหลังลดค่าเงินบาทครั้งใหญ่ได้สำเร็จ และก้าวเข้าสู่การเป็น “เสือตัวใหม่” แห่งเอเชีย ตามที่สื่อต่างประเทศสมัยนั้นยกย่อง

การได้ตำแหน่งนางงามจักรวาลของภรณ์ทิพย์จึงเข้ามาเติมเต็มความสุขของคนไทยที่เปี่ยมล้นอยู่แล้วให้มีความสุขมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก

ต่างกับ “น้องโอปอล” สุชาตา ช่วงศรี นางงามโลกคนล่าสุดของเราราวฟ้ากับเหวเลยเชียวล่ะ

เพราะมองในแง่เศรษฐกิจต้องถือว่าประเทศไทยอยู่ในช่วงเศรษฐกิจตกตํ่าอย่างน่าห่วงใยอย่างมากมา 4-5 ปีแล้ว ตั้งแต่โควิด-19 มาจนถึงนโยบายของ ทรัมป์คลั่ง อย่างที่ทราบกันอยู่ ทำให้ ธนาคารโลก เพิ่งจะประกาศในวันใกล้ๆ กับน้องโอปอลกลับบ้าน ว่า เศรษฐกิจไทย จะโตเรี่ยๆ ดินแค่ 1.8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง

ไม่เพียงเศรษฐกิจจะแย่ การเมืองก็แย่ด้วย พรรคการเมืองที่บริหารอยู่ได้รับเสียงวิจารณ์ว่ามือไม่ถึง…ขณะเดียวกันก็มีข่าวแก่งแย่งตำแหน่งโน่นนี่อุตลุด จะอยู่กันได้อีกนานเท่าไรก็ไม่รู้

แถมล่าสุดไทยยังโดน “หอกข้างแคร่” อย่าง 2 พ่อลูกตระกูลฮุน จาก “กัมพูชา” ส่งเสียงท้าต่อยท้าตีกวนประสาทอย่างหนักในขณะนี้

จึงเท่ากับว่าการได้มงของน้องโอปอลนั้น คนไทยกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์พอดิบพอดี

ในทางจิตวิทยา “ความสุข” ที่เราได้รับในช่วงที่มี “ความทุกข์” จะมีคุณค่าสูงกว่าความสุขที่ได้ในช่วงความสุข…เพราะเป็นความสุขที่จะมาบรรเทา หรือผ่อนปรนความทุกข์ที่เราเผชิญอยู่ ทำให้เรามีกำลังใจ มีความเข้มแข็งที่จะเดินหน้าต่อไป

ขณะเดียวกัน โอลด์แมนอย่างผมก็หวังด้วยว่าความสำเร็จของโอปอลที่มิใช่จะเพียงคว้ามงนางงามโลกมาได้เท่านั้น…เธอยังเป็นนักพูดนักปาฐกถาที่ใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างไพเราะจับใจ ซึ่งสมควรที่จะนำมาใช้เป็นแบบอย่างแก่เด็กไทยโดยทั่วไป

โอปอลไม่เคยเรียนนอก ไม่ใช่ลูกครึ่ง แต่ทำไม “เก่ง” ภาษาอังกฤษขนาดนี้? พรุ่งนี้ผมจะลองถอดบทเรียนในการเรียนภาษาอังกฤษของน้องโอปอลมาฝากลูกๆ หลานๆ ชาวไทยนะครับ

ถือเป็นการเริ่มต้น “จุดไฟ” เพื่อให้กำลังใจแก่พ่อแม่ผู้ปกครอง และเด็กไทย “ยุคใหม่” ที่จะต้อง “เก่งภาษาอังกฤษ” เพื่อความอยู่รอดทั้งของเด็กๆ ไทยเราเอง…และประเทศไทยของเราด้วย ในยามที่การแข่งขันกำลังเข้มข้นสุดๆ ทั่วโลกในยุคนี้.

“ซูม”

โอปอล สุชาตา ช่วงศรี นางงามไทยได้มง มิสเวิลด์ 2024 สร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ