วันเศร้าที่ “สยามพารากอน” บทเรียนที่ไม่ควรปล่อยผ่าน

ผมก็เหมือนท่านผู้อ่านและพี่น้องชาวไทยส่วนใหญ่ ที่รู้สึกช็อกกับเหตุการณ์ที่เปรียบเสมือนฝันร้ายของศูนย์การค้าสยามพารากอน เมื่อช่วงเย็นๆ ของวันอังคารที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา

ประมาณ 4 โมงเย็นครึ่งเห็นจะได้ สื่อสังคมออนไลน์ก็พาดหัวข่าวสั้นๆ แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วว่า มีเสียงปืนดังกึกก้องหลายนัด ที่ห้างโด่งดังระดับเอเชียห้างนี้

จากนั้นก็มีรายละเอียดทยอยตามติดมาตามลำดับ และได้ภาพโดยสรุป ก่อนคํ่าว่าผู้ก่อเหตุเจ้าของเสียงปืนที่ดังกึกก้องนั้นเป็นเด็กชายอายุแค่ 14 ใช้อาวุธปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติ ใช้กระสุนขนาด 9 มม.ยิงกราดใส่ผู้คนที่ไปช็อปปิ้งและเดินอยู่ในห้าง จนเสียชีวิตไป 2 ศพ และบาดเจ็บทั้งสาหัส และไม่สาหัสอีก 5 ราย

โดยส่วนตัวผมในฐานะนักเดินห้างคนหนึ่ง และเมื่อหลายปีก่อน นํ้าหนักตัวผมขึ้นเอาขึ้นเอาอย่างน่าตกใจ คุณหมอจึงแนะนำให้ผมออกกำลังด้วยการเดินเยอะๆ จะช่วยลดนํ้าหนักลงได้

ผมก็ไปอาศัยห้างสยามพารากอนนี่แหละครับ เป็นที่เดินออกกำลังของผมในตอนบ่ายๆ โดยเดินออกไปด้านหลังโรงพิมพ์ก่อน จากนั้นก็ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ไปลงที่สถานี สยาม แล้วไปเริ่มต้นที่นั่น

จำได้ว่าเดินปรุไปทุกห้างทั้งแถวๆ ย่านสยาม ข้ามไปจนถึงราชประสงค์โน่นเลย

โดยเฉพาะที่ สยามพารากอน ผมจะไปบ่อยที่สุด เพราะนอกจากบริเวณห้างจะกว้างขวาง เดินได้ยาวๆ แล้ว ยังเป็นห้างที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดอีกด้วย

ผมก็จะถือโอกาสเดินสังเกตการณ์ดูจำนวนนักท่องเที่ยวที่สยามพารากอนไปด้วย ว่ามากหรือน้อยอย่างไร…ถ้ามากก็แสดงว่าเศรษฐกิจดี และถ้าน้อยก็แสดงว่าเศรษฐกิจแย่ นำไปใช้เป็นข้อเขียน บทสรุป วันส่งท้ายปีเก่าของแต่ละปีได้เลยโดยไม่ต้องรอรายงานของสภาพัฒน์ หรือแบงก์ชาติแต่อย่างใด

ด้วยความคุ้นเคยกับสยามพารากอนนี่เอง…ผมจึงรู้สึกตกใจมากกว่าปกติ เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น และภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยคุ้มครองทั้งพี่น้องชาวไทยเราเอง และนักท่องเที่ยวที่อยู่ในเหตุการณ์กราดยิงครั้งนี้จงปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง

แต่ที่สุดของที่สุดก็ยังมีการสูญเสียเกิดขึ้นจนได้ แม้จะมีเพียง 2 ชีวิต ซึ่งดูจำนวนไม่มากนัก เมื่อเทียบกับเหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นในหลายๆ แห่งหลายๆ ที่ที่เคยเป็นข่าว

กระนั้นทุกๆ ชีวิตของมนุษย์ย่อมมีความหมายและมีคุณค่าเสมอ โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวที่ต้องสูญเสีย อันได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวจีนรายหนึ่ง และชาวเมียนมาที่มาทำงานในบ้านเราอีกคน

สำหรับกรณีนักท่องเที่ยวจีนก็คงต้องรอดูผลกระทบต่อไปว่าจะมีผลต่อการเดินทางมาท่องเที่ยวบ้านเราของทัวร์จีนหรือไม่? รัฐบาลเพิ่งโปรโมตไม่เก็บค่าทำวีซ่าจนได้ข่าวว่านักท่องเที่ยวจีนพุ่งกระฉูด

ไม่ทราบว่าการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวจีนรายดังกล่าวจะมีผลไปถึงความวิตกกังวลของนักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่หรือไม่อย่างไร

เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นข่าวดัง และข่าวใหญ่มาก มีการกระพือโหมเป็นข่าวพาดหัวไปทั่วโลกและประเทศจีนด้วย โดยสำนักข่าวต่างๆ

ส่วนในกรณีของผู้ก่อเหตุเป็นเด็กอายุ 14 ปี ซึ่งแม้ในทางกฎหมายจะไม่สามารถลงโทษได้ แต่ก็ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์แสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวางว่า สาเหตุมาจากอะไร? และควรจะลงโทษใคร?

มีนักวิเคราะห์บางรายแสดงความเห็นว่า อาจเป็นไปได้ที่เยาวชนไทยยุคใหม่ของเราขาดความอบอุ่น ขาดความรัก ความเอื้ออาทรจากผู้ใกล้ชิด ทำให้มีคดีตัวอย่างของเยาวชนไทยที่กระทำความผิดรุนแรงเกิดขึ้นบ่อยๆ ครั้งในช่วงหลังๆ นี้

พร้อมกับเสนอทางแก้ไขเป็นรวมๆ ว่า เราควรจะดึงความรัก ความอบอุ่น ความเข้าใจซึ่งกันและกันทั้งภายในครอบครัว…ในชุมชนจนถึงระดับชาติให้กลับมาโดยเร็วที่สุด ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะสายเกินไป

ผมเห็นด้วยครับ…และก็หวังว่าเราจะถือโอกาสใช้เหตุการณ์ที่สยามพารากอนซึ่งเป็น “บทเรียน” ราคาแพงพอสมควรของเราครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการที่จะหันมาสร้างความรักความอบอุ่นในครอบครัวในสังคมในชุมชนและในประเทศชาติ เช่นเดียวกับในอดีตอันงดงามของประเทศไทยเราอีกครั้ง.

“ซูม”

ศูนย์การค้า, สยามพารากอน, บทเรียน, เด็ก 14, siam paragon, อาวุธ, กฎหมาย, ลงโทษ, ประเทศจีน, เหตุยิงพารากอน, เด็ก 14 กราด ยิง, ข่าว, ซูมซอกแซก