เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โลกเราได้สูญเสียยอดนักออกแบบแฟชั่นสตรี (ความจริงก็บุรุษด้วย) ชั้นนำไปอีก 1 ราย เป็นข่าวใหญ่ทั้งใน ระดับอินเตอร์และในบ้านเรา…ท่านผู้อ่านคงจะพอทราบกันอยู่บ้างแล้ว
นั่นก็คือข่าวการสูญเสีย อิซเซ มิยาเกะ ดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่น เจ้าของผลิตภัณฑ์แฟชั่นและนํ้าหอมในชื่อเดียวกันนี้ ซึ่งได้จากไปในวัย 84 ปี ด้วยโรคมะเร็งในตับ ที่กรุงโตเกียว
ในบ้านเรามีข่าวทั้งในหน้าต่างประเทศ และในหน้าแฟชั่นของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ เหตุเพราะสินค้าของอิซเซ ถือได้ว่าฮิตอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการแฟชั่นทั้งของโลกและของบ้านเรา
ผมเองไปรู้จักสินค้าและรับรู้เรื่องราวของ คุณอิซเซ มิยาเกะเมื่อเกือบๆ 20 ปี เห็นจะได้ ในโอกาสที่เดินทางไปทัวร์ญี่ปุ่นกับเพื่อนสนิท ของผมกลุ่มหนึ่ง
เผอิญเพื่อนสุภาพสตรีในกลุ่มเรารายหนึ่งบอกว่า เพื่อนๆ ที่เมืองไทย อยากได้กระเป๋าของ อิซเซ มิยาเกะ จึงฝากเธอมาซื้อ 2-3 ลูก
ผมมีโอกาสเดินไปซื้อกับเธอด้วย ทำให้รู้จักกระเป๋า “เบา-เบา” ซึ่งเป็นกระเป๋าถือหรือจะใช้หิ้วใช้สะพายก็ได้ ที่มีลวดลายคล้ายตาหมากรุก ทั้ง 2 ด้านของกระเป๋าเป็นสัญลักษณ์…เป็นครั้งแรกในชีวิตนี้
เมื่อรู้จักกระเป๋าแล้วก็พลอยรู้ถึงสรรพคุณของกระเป๋าไปด้วยว่ากระเป๋าแบรนด์นี้เป็นสินค้าฮิตระดับโลก เป็นที่นิยมของสาวๆ ตั้งแต่ “มิดเดิลโซ” ไปจนถึง “ไฮโซ” บ้านเรา เพราะเท่ หิ้วแล้วดูมีรสนิยม…และที่สำคัญคือราคาไม่แพงจนเกินไป
ผมจำได้ว่าราคาเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ดูเหมือนจะประมาณ 4-5 พันบาทเท่านั้น ถูกมากเมื่อเทียบกับกระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้ออื่นๆ
กลับมาเมืองไทย ผมก็ค้นหาเรื่องราวของ อิซเซ มิยาเกะ มาอ่านยกใหญ่ เพราะรู้สึกภูมิใจที่นักออกแบบเอเชียของเรามีฝีมือถึงขนาดเป็นที่ยอมรับของโลก เทียบได้กับ “แบรนด์” โด่งดังของโลกใน พ.ศ.ดังกล่าว
ทำให้ทราบว่า อิซเซเกิดเมื่อ 22 เมษายน ปี 1938 ที่ ฮิโรชิมา และเป็นเด็กที่โชคดีรอดตายมาจากการทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกของสหรัฐฯ เข้าใส่เมืองนี้ เมื่อปี 1945 ปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตเฉพาะเมืองนี้ราวๆ 129,000 คน
เมื่อเติบโตขึ้นอิซเซ ซึ่งชอบงานออกแบบเป็นชีวิตจิตใจ ตัดสินใจเข้าเรียนมหาวิทยาลัยศิลปะที่โตเกียวจนจบ…จากนั้นก็ตามล่าความฝันที่อยากเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าด้วยการไปเรียนต่อที่ปารีส
อิซเซ มิยาเกะ กลับมาเริ่มชีวิตนักออกแบบแฟชั่น…โดยใช้ชื่อตัวเขาเองเลยเป็นเครื่องหมายการค้าที่กรุงโตเกียว ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จ อย่างล้นหลาม กลายเป็นสินค้าระดับโลกเพียงไม่กี่ปีต่อมา
เอกลักษณ์ของเขาก็คือ เขาคิดค้น “ผ้าจับจีบ” ที่เรียกว่า “พลีตพลีส” ให้เป็นจีบแบบถาวรไม่ยับง่ายๆ ต่อมาก็ดัดแปลงวัสดุประเภทเครื่องปั้นดินเผา เช่น เซรามิก เอามาทำกระดุม ฯลฯ จนในที่สุดก็นำไปสู่วัสดุที่ทำกระเป๋า “เบา–เบา” ที่ผมไปรู้จักที่โตเกียว ดังที่เล่าไว้ข้างต้น
จำได้ว่ากลับมาบ้านหลังจากไปรู้จักกระเป๋าของอิซเซ มิยาเกะ ในเที่ยวนั้นแล้ว ผมก็หยิบมาเขียนถึงอย่างน้อย 1 วัน ในคอลัมน์นี้
เสียดายที่ยุคนั้นยังไม่มี “ไทยรัฐออนไลน์” ข้อเขียนของผมก็เลยแน่นิ่งอยู่ในหนังสือพิมพ์กระดาษ ที่ต่อมาโรงพิมพ์เอามาเย็บรวมเล่มเป็นไทยรัฐเล่มโต เก็บที่ห้องสมุดศูนย์ข้อมูลไทยรัฐทุกวันนี้
ผมจะกลับไปค้นอ่านใหม่ก็จำไม่ได้แล้วว่า วันไหน ปีไหน แต่ก็จำได้อยู่หน่อยๆ ว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ผมมีโอกาสไป เนปาล เพื่อกราบสังเวชนียสถานของพระพุทธเจ้าที่สวน ลุมพินี ซึ่งอยู่ที่เนปาล
ได้รับคำบอกเล่าว่าเสื้อยกทรงไทยยี่ห้อ “จินตนา” ดังมาก เป็นที่นิยมของสาวๆ ชาวไฮโซที่เนปาลมากกว่ายกทรงยุโรปเสียอีก
ผมจึงเล่นมุกจบคอลัมน์วันเขียนถึง “อิซเซ มิยาเกะ” ว่าแฟชั่นญี่ปุ่นเขาดังระดับโลกไปแล้ว เมื่อไรจะถึงทีแฟชั่นไทยเราบ้าง…โดยยกตัวอย่างยกทรง “จินตนา” ว่าอุตส่าห์ไปโด่งดังถึงเนปาลแล้วจะมีสิทธิ์ไหมที่จะดังระดับโลกกับเขาบ้าง?
วันนี้ในโอกาสที่กลับมาเขียนถึงอิซเซ มิยาเกะ ด้วยความอาลัยและเสียดายอย่างยิ่งต่อการจากไปของอัจฉริยะชาวอาทิตย์อุทัยท่านนี้…ก็เลยขออนุญาตทิ้งท้ายด้วยการถามไถ่ด้วยความจริงใจมิใช่เล่นมุกว่า ยกทรง “จินตนา” ของไทยไปถึงไหนแล้วครับ? ถึงระดับโลกแล้วยัง?
รวมถึงแฟชั่นอื่นๆ ของไทยเราด้วย ใครโด่งดังระดับโลกแล้วบ้าง อย่าลืมเขียนจดหมายมาบอก “ลุงซูม” ให้ภูมิใจบ้างนะครับ.
“ซูม”