ท่านที่ติดตามอ่านคอลัมน์นี้มาพอสมควรคงจะพอนึกออกว่า ผมจะวางตัวเป็นกลางทางการเมืองอย่างเคร่งครัด…มาโดยตลอด
จะติจะชมอะไรก็จะว่าไปตามเหตุและผลของการนำนโยบายออกมา ใช้หรือการกระทำที่มีผลต่อสาธารณชนของแต่ละพรรค
ดีและถูกต้องก็ชื่นชมตรงไปตรงมา…หากไม่ดีและดูท่าทีไม่ค่อยถูกต้องนักก็จะติงจะชี้แนะเท่าที่ผมจะมีความสามารถชี้แนะได้
ที่ผ่านมาผมจึงเข้าได้กับทุกพรรค ไม่เป็นศัตรูกับใคร แต่ก็จะไม่ใกล้ชิดสนิทสนมถึงขั้นเป็นมิตรสหายกับพรรคใดจนเกินไป
รวมทั้งกับ “พรรคประชาธิปัตย์” ที่ผมจะเขียนถึงวันนี้
แม้จะอยู่ห่างๆ แต่ในฐานะผู้สนใจและติดตามการเมืองไทยมาช้านาน …ผมมีความชื่นชมพรรคนี้อย่างยิ่งประการหนึ่งนั่นก็คือ ประชาธิปัตย์เป็นพรรคเดียวที่มีลักษณะเป็น “ของกลาง”
หรือ “สมบัติสาธารณะ” ที่มีประชาชนจำนวนหนึ่ง ซึ่งสมัครใจเป็นสมาชิกพรรคนี้เป็นเจ้าของร่วมกัน
ไม่ใช่พรรคของนาย ก. นาย ข. หรือนายพลนั่นนายพลนี่ ซึ่งลงท้ายแล้ว ผู้ที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคได้ก็คือ นาย ก. นาย ข. และนายพลนั่นนายพลนี่เท่านั้น
อีกทั้งไม่ใช่พรรคของครอบครัวนั้นครอบครัวนี้ ที่ในที่สุดแล้ว
ผู้ที่จะขึ้นมามีอำนาจเต็มของพรรคก็หนีไม่พ้นลูกหลาน หรือญาติโก โหติกาของหัวหน้าครอบครัวที่ก่อตั้งพรรคเอาไว้เท่านั้น
พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเดียวเท่าที่มีอยู่ในประเทศไทยใน ขณะนี้ ที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้ที่เป็น สมาชิกพรรค ขึ้นมาเป็นผู้บริหารของพรรคได้…ถ้าสามารถเอาชนะใจสมาชิกพรรคส่วนใหญ่ได้สำเร็จ
ถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย และเป็นตัวอย่างของระบอบประชาธิปไตยภายในตัวพรรคนั้นเอง
ดังนั้น เมื่อเรามองย้อนหลังกลับไปดูผู้ที่มาเป็น “ผู้บริหารสูงสุด” ของพรรคนี้ จึงพบว่ามาจากหลายๆ กลุ่มอาชีพ และหลายๆวงศ์ตระกูล ตั้งแต่ตระกูลศักดินา เศรษฐีมีทรัพย์ มาจนถึงตระกูลชาวบ้านๆ
ผมโตไม่ทันรุ่น พันตรีควง อภัยวงศ์ แต่มาทันรุ่น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ท่านพันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ ท่าน พิชัย รัตตกุล
แน่นอน…ย่อมจะทันท่าน ชวน หลีกภัย…คุณ บัญญัติ บรรทัดฐาน…คุณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และล่าสุด คุณ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
จะเห็นว่านามสกุลไม่ซ้ำกันเลยสักคน และมาจากหลายอาชีพ หลายจังหวัด และหลายตระกูล ที่ยากจะหาได้ในพรรคอื่นๆ
ผมจึงรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยอยู่ไม่น้อยที่เกิดเหตุที่ไม่สมควรเกิดขึ้น แก่พรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้
ถามว่า “ร้ายแรงไหม?” ก็ต้องตอบว่า “ร้ายแรง” นำไปสู่ความช็อก หรือตกใจแบบคาดไม่ถึงในตอนแรก…ต่อมาก็รู้สึกสะเทือนใจและหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก…สำหรับผม
ผมคงไม่สามารถที่จะเสนอแนะวิธีแก้ปัญหา หรือการฝ่าวิกฤติ อันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ได้…เพราะผู้ที่จะสามารถแก้ไขได้นั้น คือท่านที่เป็น สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์นั้นเอง
ก็ขอให้หารือกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดเถิด ผมเพียงแค่อยาก จะบอกว่า ผมยังอยากเห็นพรรคนี้ยืนหยัดต่อไป เคียงคู่กับระบอบประชา ธิปไตยของไทยไปตราบนานเท่านาน
ขณะเดียวกัน ผมก็หวังว่าเมื่อได้รับคำวิจารณ์แล้ว ได้รับคำตำหนิแล้ว และทางผู้บริหารพรรคสามารถหาทางออก หรือทางแก้ไขจนสงบลง ได้แล้ว…ทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปัตย์จะช่วยกันรักษาคุณสมบัติ ที่สำคัญที่สุดของพรรคเอาไว้ต่อไป
นั่นก็คือเป็นพรรคการเมืองที่มิใช่พรรคเฉพาะกิจตั้งเพื่อนาย ก. นาย ข. หรือนายพล ก. นายพล ข. รวมทั้งการเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ใช่พรรคครอบครัวของตระกูลนั้นตระกูลนี้ ดังที่ยืนหยัดมาตลอด
อะไรไม่อะไร…โอกาสหน้าผมฝากสมาชิกภาคอื่นๆ เช่น ภาคเหนือ ภาคอีสาน หรือภาคกลาง มาเป็นหัวหน้าพรรคบ้างนะครับ…
เพราะที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกใน กทม.กับภาคใต้ เท่านั้นเอง ได้ครบทุกภาคเมื่อไรจะสมบูรณ์แบบเมื่อนั้น
ครับ! ไหนๆ ก็เจอบทเรียนในครั้งนี้แล้ว ถือโอกาสใช้ “วิกฤติ” เป็น “โอกาส” ให้สมกับ “ราคา” ที่แสนแพงไปเสียด้วยเลย.
“ซูม”