“โควิด” ซ้ำเติม “เหลื่อมล้ำ” โลก “คนรวย” รวยเละ…“คนจน” จนลง

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ในการประชุม “World Economic Forum” ทางออนไลน์ในสัปดาห์นี้ จะมีการนำเสนอรายงานศึกษาพิเศษชิ้นหนึ่งที่ระบุตัวเลขออกมาอย่างชัดเจนว่า คนรวยระดับอัครมหาเศรษฐีของโลกรวยขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า ในช่วงเวลาเกือบ 2 ปี ที่โลกเราเผชิญการระบาดของโควิด-19

สถาบันอ็อกซ์แฟม (Oxfam) ซึ่งใช้ตัวเลขของนิตยสาร Forbes ที่ทำสถิติเกี่ยวกับคนรวยของประเทศต่างๆมาเป็นฐานในการวิเคราะห์ พบว่ารายได้ของมหาเศรษฐี 10 คนแรกของโลก เพิ่มจาก 8.6 ล้านล้าน เหรียญสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคมปี 2020 เป็น 13.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนปี 2021 ที่ผ่านมา
หรือเพิ่มขึ้นถึง 5.2 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการเพิ่มที่มหาเศรษฐีดังกล่าวเคยใช้เวลาถึง 14 ปีก่อนหน้านี้กว่าจะเพิ่มได้มากถึงขนาดนี้

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ร่ำรวยขึ้นอย่างมาก เพราะรัฐบาลทุกประเทศอัดฉีดเงินเข้ามาพยุงเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และสุดท้ายเงินที่ว่าจะไปอยู่ในกระเป๋า ของมหาเศรษฐี ผ่านตลาดหุ้นที่บูมกว่าในช่วงเวลาปกติเสียอีก

ในการวิเคราะห์ตอนหนึ่ง…รายงานระบุว่า ความร่ำรวยทั้งหมดของ 10 อัครมหาเศรษฐีของโลก (ซึ่งรวมทั้ง นาย อีลอน มัสก์ ซีอีโอบริษัท เทสลา และนายเจฟ เบซอส ผู้ก่อตั้งแอมะซอนดอตคอมอยู่ด้วย) ณ นาทีนี้ รวมแล้วมากกว่ารายได้ของคนจนที่สุดของโลกรวมกัน 3,100 ล้านคน ถึง 6 เท่าตัวเลยทีเดียว

รายงานของอ็อกซ์เฟรมระบุด้วยว่า ความแตกต่างหรือช่องว่างอันมหาศาลที่เกิดขึ้นเป็นเพราะระบบเศรษฐกิจของโลกทุกวันนี้ ทำให้พวกเราทั้งหลาย (ที่มีรายได้น้อย) มีความปลอดภัย (ทางเศรษฐกิจ) น้อยลงไปอีก และกลับทำให้ผู้คนที่ร่ำรวยอยู่แล้วอย่างมหาศาลตักตวงผลประโยชน์จากวิกฤตการณ์โรคระบาดได้อย่างสะดวกเพิ่มขึ้น

รายงานเสนอว่ารัฐบาลของประเทศที่เกี่ยวข้องควรจะมีมาตรการด้านภาษีพิเศษเฉพาะในช่วงการระบาดของโควิด-19 เพื่อจัดการกับเอกอัครมหาเศรษฐีทั้งหลายเพื่อนำมาเป็นเงินสนับสนุนระบบสุขภาพต่างๆ รวมทั้งนำไปใช้จ่ายเป็นค่าวัคซีนและใช้เป็นค่าในการแก้ปัญหาการเลือก ปฏิบัติที่เกิดขึ้นในโลกรวมทั้งใช้ในการแก้ปัญหาโลกร้อนหรือทรัพยากร เสื่อมโทรมด้วย ผ่านองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

แม้รายงานนี้จะมิได้ลงไปเจาะลึกอะไรมากแค่เอารายได้ของบรรดา เอกอัครมหาเศรษฐีจากที่นิตยสารฟอร์บส์สำรวจไว้ทั้งในอดีตและปัจจุบันมาคำนวณแล้วเปรียบเทียบกับรายได้คนจนตามที่มีการสำรวจไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งในทางทฤษฎีอาจมีข้อโต้แย้งได้พอสมควร

ในขณะที่ตัวเลขคนจนมากๆ ที่เขาอ้างไว้ก็ยังต้องไปค้นต่อ เพราะ เขาใช้จำนวน 3,100 ล้านคน แต่ที่ผมเคยอ่านเจอบางสำนักเคยระบุว่ามี 107 ประเทศ ที่มีคนจนในมิติต่างๆ รวมกันประมาณ 1,300 ล้านคน

แต่อ่านข่าวนี้แล้วก็เห็นภาพชัดเจนครับ…ชัดเจนจนรู้สึกน้อยใจเจ้าไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ต่างๆ ขึ้นมาตงิดๆ ที่ทำให้ “คนจน” พ่ายแพ้ “เศรษฐี” อย่างไม่มีทางสู้ไปอีกครั้งหนึ่ง

ทั้งตกงาน ทั้งขาดรายได้ ผลิตโน่นผลิตนี่ขายไม่ออก เอสเอ็มอีเจ๊งระเนนระนาดและสำหรับประเทศจนๆ ไม่มีเงินซื้อวัคซีนด้วยยิ่งหนักใหญ่ …ไหนจะตกงานและไหนจะเสียชีวิตทั้งตัวเองและญาติโยม

นับว่ารายงานนี้แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำระดับโลก ที่นับวันจะน่าเป็นห่วงมากขึ้นเรื่อยๆ และยังมองไม่เห็นว่าจะแก้ไขได้อย่างไร

ของไทยเราสภาพัฒน์เองก็เคยแถลงว่าสัดส่วนคนจนของเราเคยลดลงไปเหลือร้อยละ 6.2 ในปี 2562 บรรลุเป้าหมายของแผน 12 ที่ตั้งไว้ว่าเราจะมีคนจนไม่เกินร้อยละ 6.5 ซึ่งก็ทำท่าว่าจะไม่เกินในตอนแรก

แต่เพราะโควิด-19 แท้ๆ รายงานล่าสุดในปี 2563 บอกว่าสัดส่วนคนจนในปี 2563 หลังโควิดระบาดพรวดขึ้นเป็นร้อยละ 12.7 ในไตรมาส 1 และร้อยละ 14.9 ในไตรมาส 2 ของปีเดียวกัน

แสดงว่าความเหลื่อมล้ำอันเกิดจากโควิด-19 ก็มีผลกระทบมากพอสมควรในบ้านเรา

แต่บ้านเรายังไม่มีใครลองเอารายได้ของมหาเศรษฐี 10 คนแรกไปลองคำนวณดูว่าเท่ากับรายได้คนยากจนชาวไทยมากน้อยแค่ไหน แบบรายงานฉบับนี้ นักวิชาการบ้านเราคนไหนมีเวลาว่างลองคำนวณดูบ้างก็ดีเหมือนกันนะครับ.

“ซูม”

ข่าว, เศรษฐกิจ, โลก, คนรวย, คนจน, เหลื่อมล้ำ, แมนยู, มหาเศรษฐี, ไวรัส, โควิด-19, ซูมซอกแซก