เนื่องด้วยวันนี้ (28 กรกฎาคม 2564) เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 อันเป็นที่เคารพเทิดทูนยิ่งของปวงชนชาวไทย
ผมขอเรียนเชิญชวนท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน ร่วมจิตร่วมใจถวายพระพรชัยมงคลด้วยความจงรักภักดีแด่พระองค์ท่านขอจงทรงพระเจริญ สถิตเป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรสืบไปตราบนานเท่านาน
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ…เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศแห่งความร่วมแรงร่วมใจของพวกเราชาวไทยในวันนี้ ผมขออนุญาตเขียนถึงเหตุการณ์ที่ประทับใจคนไทยอย่างยิ่ง เมื่อค่ำวันเสาร์ที่ผ่านมา อีกสักครั้งนะครับ
เมื่อวานนี้ผมเกริ่นแสดงความรู้สึกเอาไว้บ้างเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ทันเหตุการณ์แต่ไม่สามารถลงลึกในรายละเอียดได้ เพราะต้องการสงวนเนื้อที่ไว้สำหรับประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ท่านผู้อ่านรับฟังเทศนา เพื่อถวาย เป็นพระราชกุศล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2564 ตามที่ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือแจ้งมา
วันนี้ขอถือโอกาสเขียนยาวๆ เพื่อบันทึกบรรยากาศแห่งความดีใจอย่างสุดๆ ของพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศจากการคว้า เหรียญทอง โอลิมปิก ของ “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ อีกสักครั้ง
เผื่อว่า ลูกๆ หลานๆ ในอนาคตมาอ่านเจอจะได้รู้ว่า คนไทยรุ่นปู่รุ่นย่า ใน พ.ศ.2564 นั้น มีความสุขกันขนาดไหน ในท่ามกลางความทุกข์ยากจากการระบาดของไวรัสร้ายโควิด-19 ในห้วงเวลาเดียวกัน
ผมเล่าไว้บ้างแล้วว่า คนไทยเราที่มีความหวังอย่างมากก่อนการแข่งขันเพราะเชื่อในความเก่งกล้าสามารถของน้องเทนนิสที่ได้รับการวางตัวให้เป็นเต็งหนึ่งของการแข่งขันรุ่นนี้…กำลังตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง
เพราะนักเทควันโดสาวชาวสเปน ซึ่งสู้อย่างทรหดอดทน แม้จะตกเป็นรองเราบ้างในช่วงแรกได้ฮึดกลับมาทำคะแนนนำอยู่ที่ 10-9 เมื่อเวลาเหลืออยู่เพียง 15 วินาทีเท่านั้น
เวลามันช่างน้อยนิดเสียจนไม่มีใครคิดว่าเธอจะไล่ทัน
จากการดูคลิปที่มีการถ่ายบันทึกจากครัวเรือนต่างๆ ทั่วประเทศไทย และนำมาเผยแพร่ภายหลังทางโซเชียลต่างๆ จะเห็นภาพที่เหมือนกันหมด คือ ทุกใบหน้าทุกอากัปกิริยาของทุกๆ คนในทุกๆ ครัวเรือน แม้แต่ลูกเล็กเด็กแดงอยู่ในอาการห่อเหี่ยว…ท้อแท้…ทั้งสิ้น
รวมทั้งมีอยู่คลิปหนึ่งบันทึกจากที่นั่งของผู้สื่อข่าวไทยประมาณ 10 กว่าคนที่ไปนั่งทำข่าวอยู่ที่ขอบเวทีแข่งขันเทควันโด ณ กรุงโตเกียว ก็แสดงให้เห็นถึงอาการ “สิ้นหวัง” ของผู้สื่อข่าวไทยทั้งหมด
แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปจนเหลืออีกเพียง 7 วินาที…น้องเทนนิสทำท่าเหมือนจะชกด้วยหมัด แต่แล้วก็ดีดเท้าเตะเข้าใส่ลำตัวของสาวสเปนอย่างจังแต้มขึ้นมา 2 แต้มทันที ทำให้น้องเทนนิสกลับมานำ 11-10
เรียกเสียงเฮและปลุกชีวิตคนไทยทั้งประเทศ (รวมทั้งผู้สื่อข่าวไทยในสนาม) ได้อย่างกึกก้องเป็นครั้งที่ 1
จากนั้นนับไปอีก 6 วินาทีที่เหลือไม่มีใครทำอะไรได้อีก ชัยชนะ และเหรียญทองอันทรงเกียรติจึงตกเป็นของน้องเทนนิส
เสียงเฮสนั่นหวั่นไหวครั้งที่ 2 ซึ่งดังกว่าครั้งแรกมาก จึงกระหึ่มขึ้นทั่วประเทศไทย…รวมทั้งที่บ้านผมและข้างๆ บ้านที่มีเสียงลอดเข้ามาด้วย
นี่คือ “วัคซีนใจ” เข็มที่เยี่ยมยอดที่สุดในยามยากที่เราเผชิญอยู่ขณะนี้…ชัยชนะของน้องเทนนิสแสดงให้เห็นถึงหัวใจที่ไม่ยอมแพ้พ่ายของเธอ…หัวใจที่พร้อมสู้และสู้เสมอตราบวินาทีสุดท้าย
ซึ่งเธอก็สามารถทำได้ก่อนวินาทีสุดท้ายถึง 7 วินาที
ทำให้วลี “7 วินาทีพลิกชีวิต” เป็นวลีที่ฮอตฮิตที่สุดสำหรับประเทศไทยเรานับตั้งแต่ค่ำวันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา
ผมนั่งดูต่อจนถึงช่วงเวลาที่มีการเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาเพื่อให้เกียรติแก่ประเทศที่ได้เหรียญ…ปลื้มใจเหลือเกินที่เห็นธงชาติไทยที่อยู่สูงกว่าชาติอื่นค่อยๆ ลอยเด่นขึ้นไปตามเสียงเพลงชาติไทยที่เขาบรรเลงประกอบ
เป็นเพลงชาติไทยที่ไพเราะซาบซึ้งที่สุดในรอบหลายๆ ปีมานี้ ฟังแล้วรักประเทศไทยเหลือเกินและแอบร้องไห้ไปด้วยกับน้องเทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ฮีโร่คนแรกของเราสำหรับโตเกียวโอลิมปิก
หวังว่ายังจะมีอีกนะครับเหรียญทองและเพลงชาติไทยที่ไพเราะอย่างสุดบรรยายเช่นนี้
ป.ล. สำหรับ “บิ๊กตู่” หัวหน้ารัฐบาลไทยที่โดนเล่นงานหนักหน่วงมาก ณ บัดนาว…จะมี “วินาทีพลิกชีวิต” กะเขาบ้างไหมเนี่ย?
“ซูม”