เมื่อวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่แล้วผมไปนอนค้างที่พัทยามา 2 คืนครับ หลังจากที่ห่างเหินไม่ได้แวะไปเลยร่วมๆ 3 ปีเห็นจะได้ พอดีลูกๆ ผมเขาสมัครเข้าโครงการ “เที่ยวด้วยกัน” ของรัฐบาล “ลุงตู่” มาคุยให้ฟังเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนว่า ยังมีสิทธิจองห้องพักโรงแรม เหลืออยู่…เราจะไปเที่ยวไหนกันดี?
ผมก็เลยบอกลูกๆ ว่า ถ้างั้นก็ไป พัทยา กันเถอะ เราไม่ได้ไปมาหลายปีแล้ว ขับรถแค่ 2 ชั่วโมงเอง
เมื่อตกลงใจไปพัทยา ผมก็นึกถึงโรงแรมที่ผมคุ้นเคยและสนิทสนมมาก 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรมเอเชียพัทยา กับ โรงแรมรอยัล คลิฟ ก่อนโรงแรมอื่นใดทั้งหมด
สำหรับ โรงแรมเอเชียพัทยา นั้น ผมเคยเขียนเล่าอยู่เสมอว่า ผมกับ คุณ กำพล เตชะหรูวิจิตร ผู้ก่อตั้งโรงแรมในเครือเอเชีย เป็นญาติสนิทกัน
เพราะนอกจากจะ “แซ่” เดียวกัน คือแซ่ “หรู” หรือ “หลู” แล้ว คุณพ่อหรือที่ชาวไหหลำเรียกว่า “เด” ของผมและของคุณกำพล ยังเป็นเพื่อนซี้กัน อยู่หมู่บ้านเดียวกัน โตมาด้วยกัน และลงเรือเดินสมุทรลำเดียวกันมาประเทศไทย
เมื่อมาอยู่เมืองไทย แม้จะแยกกันไปทำมาหากินคนละจังหวัด แต่ก็ยังติดต่อและไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ทำให้ผมรู้จักกับคุณ กำพล และคุณ อมร เตชะหรูวิจิตร น้องชายของท่านมาตั้งแต่เด็กๆ
ในส่วนของ โรงแรมรอยัล คลิฟ นั้น ผมรู้จักคุ้นเคยกับคุณ พงา วรรธนะกุล เจ้าของโรงแรม น่าจะเกือบๆ 40 ปี หรือกว่าหน่อยๆ แล้วละนับมาถึงปีนี้
จำได้ว่าประมาณปี 2521-2522 สถานการณ์ด้านท่องเที่ยวของไทยตกต่ำมาก ที่พัทยามีโรงแรมเกิดขึ้นหลายแห่ง ไม่มีคนเข้าพักตกอยู่ในสภาพเหน็ดเหนื่อยไปตามๆ กัน
รัฐบาลใน พ.ศ.นั้น จึงมาจัดสัมมนาเพื่อหาทางช่วยเหลือการท่องเที่ยวพัทยา ที่โรงแรมรอยัล คลิฟ ซึ่งผมได้รับเชิญเข้าร่วมด้วย ในฐานะตัวแทนสื่อมวลชนจากไทยรัฐ ได้มีโอกาสรู้จักและสนทนากับคุณพงา ทั้งในห้องประชุมและนอกห้องประชุม จนเกิดความสนิทสนมมานับแต่นั้น
ต่อมาทุกๆ ครั้งที่โรงแรมรอยัล คลิฟ ได้รับรางวัลโน่นนี่นั่นในระดับโลกบ้าง ระดับเอเชียบ้าง ท่านก็จะเชิญผมไปร่วมฉลองกับแขกอื่นๆ ของท่านอยู่เสมอๆ
ที่เอ่ยอย่างละเอียดถึงความสัมพันธ์ของทั้ง 2 โรงแรมนี้ ก็เพื่อจะเรียนท่านผู้อ่านว่า โดยส่วนตัวแล้วผมมีโอกาสไปนอนค้างฟรีในโรงแรมทั้ง 2 แห่งนี้ ในโอกาสต่างๆ มาแล้วหลายหน
ดังนั้น เมื่อจะมีโอกาสตอบแทนน้ำใจกันบ้างในยามยาก ในช่วงที่ทุกโรงแรมกำลังประสบปัญหาโควิด-19 ขณะนี้ ผมก็อยากจะตอบแทนให้แก่ทั้ง 2 โรงแรมดังกล่าวก่อนโรงแรมอื่นใดทั้งหมด
ลูกๆ ผมโทร.ไปเช็กที่ เอเชียพัทยา ก่อนได้รับคำตอบที่ฟังแล้วใจหายว่า ขณะนี้ยังไม่ได้เปิดให้บริการ
ต่อมาโทร.ไปที่ รอยัล คลิฟ จึงทราบว่าเข้าร่วมโครงการด้วย และยังมีห้องว่างสำหรับครอบครัวเรา 3 ห้องพอดิบพอดี…คิดสะระตะแล้ว ผมจะต้องจ่ายค่าห้องคืนละ 2 พันกว่าบาทเศษๆ เท่านั้น
คืนละ 2 พันบาทกว่าๆ สำหรับโรงแรม 5 ดาว แบบนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว…รีบไปกันเถอะ ผมบอกลูกๆ และหลานๆ ซึ่งอยู่ระหว่างปิดเทอมพอดี
ก็ปรากฏว่ามีคนคิดเหมือนผมเยอะเลยครับ ทำให้โรงแรมรอยัล คลิฟ เมื่อเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา แขกเหรื่อคึกคัก และเจี๊ยวจ๊าวไปด้วยเสียงเด็กๆ ทั้งในห้องอาหารเช้าและสระว่ายน้ำ
ในขณะที่บรรยากาศรอบๆ พัทยาก็ดูมีชีวิตชีวา มีนักท่องเที่ยวไทยเราไปเยี่ยมเยือนเยอะพอสมควร จนถึงขนาดร้านอาหาร “ปูเป็น” มีคนเข้าคิวยาวเหยียดจนครอบครัวผมต้องถอยหนี
แวะไปร้าน “สุดทางรัก” ที่อยู่ใกล้ๆ ยาวจนต้องหนีเช่นเดียวกัน…และเมื่อผ่านร้านปิ้งย่างอาหารทะเลแถวๆ นั้น ก็แน่นขนัดทุกร้านอีกจนได้
ในที่สุดคณะของเราหิวมากทนไม่ไหวต้องแวะ “เซเว่น อีเลฟเว่น” ริมทาง ซื้ออาหารกล่องสำเร็จรูปไปรับประทานกันในรถเอาตัวรอดไปได้ 1 มื้อ
ผมก็เดาว่า เหตุที่ร้านอาหารในพัทยาแน่นจนผมและครอบครัวต้องไปพึ่งพา “เซเว่น” เป็นอาหารค่ำเมื่อเสาร์ที่แล้ว น่าจะเป็นเพราะโครงการ “เที่ยวด้วยกัน” ของ “ลุงตู่” นี่แหละครับ
แต่ “พัทยา” จะไปรอดหรือไม่? การเยียวยาที่ได้รับอยู่ขณะนี้จะช่วยได้แค่ไหน? พรุ่งนี้ขอรายงานต่ออีกวันนะครับ.
“ซูม”