สัญญาณดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังต้อง “เข้ม” ต่อไป

ผมนั่งเขียนต้นฉบับวันนี้ในช่วงบ่ายๆ ของวันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 “วันมหาสงกรานต์” ของปี 2563 ที่หงอยเหงาที่สุดนับตั้งแต่ผมจำความได้ เพราะเจ้าโควิด-19 ทำพิษเป็นเหตุให้เราต้องงดจัดงานสงกรานต์ทั่วประเทศ

แต่ในท่ามกลางความเหงานั้นเอง ก็มีข่าวดีที่ทำให้คนไทยจำนวนมากที่นั่งหน้าจอรอข่าวภาคเที่ยงของสถานีโทรทัศน์ยิ้มออกมาได้อย่างสดชื่นรื่นรมย์ มีความสุขไปตลอดทั้งวันหลังจากนั้น

เมื่อคุณหมอ ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ท่านออกมาแถลงข่าวว่า ยอดติดเชื้อใหม่ของคนไทยในวันที่ 13 เมษายน อยู่ที่ 28 ราย

นับเป็นตัวเลข 2 หลัก เป็นวันที่ 5 ติดต่อกันแล้ว หลังจากที่ขึ้นไป 111 คนเมื่อวันที่ 8 เม.ย. ก็ค่อยๆ ลดลงมาเป็นหลักเลข 2 ตัว ได้แก่ 54 ราย, 50 ราย, 45 ราย, 33 ราย และ 28 รายในวันนี้

ตัวเลขที่ลดลงเรื่อยๆนี้ แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการใช้มาตรการต่างๆ จากเบาไปหาหนักของรัฐบาล และจากความร่วมมือร่วมใจ ตลอดจนความเสียสละ ความอดทนของคนไทยทั้งประเทศ

อย่างไรก็ตาม ผมเห็นด้วยกับคุณหมอทวีศิลป์ ในประเด็นที่ว่า เรายังจะต้องเข้มต่อไป และอย่า “การ์ดตก” เป็นอันขาด ซึ่งเป็นคำเปรียบเปรยในภาษากีฬามวย หมายถึงว่าหากเราการ์ดตก หรือลดนวมที่ป้องกันบริเวณใบหน้า หรือปลายคางของเราลงมาอาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ฉวยจังหวะชกเข้าใส่จุดสลบของเราได้

จะทำให้เราถูกน็อกพ่ายแพ้ไปเสียเปล่าๆ ทั้งที่ทำคะแนนได้ดีมากมาหลายยกในช่วงหลังๆ

เหมือนอย่าง ญี่ปุ่น ซึ่งทำท่าเหมือนจะคุมได้แล้ว จู่ๆ ทำการ์ดตกไปหน่อยเดียว โดนโควิด-19 โหมกระหน่ำหวนกลับมาในระลอกสองจนตั้งตัวแทบไม่ทัน

วันจันทร์ที่ผ่านมาวันเดียว ยอดติดเชื้อใหม่ของญี่ปุ่นทะยานไปถึงกว่า 700 ราย ทำให้ยอดรวมทะลุผ่าน 7,000 รายไปเรียบร้อย

หรืออย่าง สิงคโปร์ ซึ่งก็คุมได้ดีมาหลายวัน แต่พอการ์ดตกหน่อยเดียว ยอดติดเชื้อใหม่ขึ้นมาวันเดียว 200 กว่าราย

เพราะฉะนั้นอย่าประมาท หรืออย่าการ์ดตกอย่างที่คุณหมอทวีศิลป์แนะนำไว้จึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องดำเนินการกันต่อไป

อย่างน้อยก็ตลอดเดือนเมษายนนี้แล้วค่อยมาประเมินผลกันอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน ถ้าเราดูตัวเลขโดยรวมของโลก ก็จะเห็นได้ว่าแม้จะเริ่มทรงตัวเพราะหลายๆ ประเทศผ่านจุดพีกไปแล้ว แต่ความเสียหายในแต่ละวันก็ยังมากอยู่

สหรัฐอเมริกาซึ่งติดเชื้อมากที่สุดในขณะนี้ ซึ่งเข้าใจว่าจะผ่านหลัก 600,000 คนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพราะยังติดเชื้อเพิ่มวันละ 2 หมื่นกว่าๆ โดยเฉลี่ย และยอดผู้เสียชีวิตก็ยังเฉลี่ยวันละกว่า 5,000 ราย

ส่วนยุโรป 5 ประเทศหลักอย่าง สเปน อิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมนี และ อังกฤษ แม้จะผ่านจุดสูงสุดของเขาแล้วเช่นกัน แต่ก็ยังติดเชื้อใหม่วันละไม่ต่ำกว่า 15,000 ราย และก็ยังเสียชีวิตถึงวันละเกือบ 3,000 ราย รวมกันทั้ง 5 ประเทศ

นะครับ! ขอให้พวกเราอดทนอดกลั้นอยู่ในวินัย อยู่ในกรอบเข้มๆ กันต่อไปอีกระยะ เพราะดูแล้วสถานการณ์โลกยังไม่น่าไว้วางใจ

แน่นอน นักรบชุดขาว หรือนักรบเสื้อกาวน์ ตลอดจนขุมพลังของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายในต่างจังหวัด โดยเฉพาะนักรบแนวหน้าภาคสนามที่เราได้ยินบ่อยมากในช่วงนี้อันได้แก่ อสม. หรือ อาสาสมัครสาธารณสุข คงจะต้องเหนื่อยต่ออีกพักใหญ่ ขอให้พวกเราทั้งหลายส่งกำลังใจไปมอบแก่บุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุขอย่างต่อเนื่องต่อไป

ที่สำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งได้แก่ “การเยียวยา” ผู้ได้รับผลกระทบที่เริ่มมีมาตรการออกมาแล้วนั้นจะต้องให้ตรงจุดและทั่วถึง

โดยเฉพาะประชาชนในระดับรากหญ้าที่ต้องหาเช้ากินค่ำมีรายได้วันต่อวัน อันเป็นกลุ่มที่ประสบความเดือดร้อนหนักหนาสาหัสกว่ากลุ่มอื่นๆ

ต้องดูแลพี่น้องกลุ่มนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้นะครับบิ๊กตู่ ให้สมกับคำสัญญาของท่านที่กล่าวไว้หลายครั้งว่า เราจะไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลังจนถึงขนาดเว็บไซต์ของกระทรวงการคลังก็ใช้คำว่า “เราไม่ทิ้งกัน”

แต่ก็ดูเหมือนว่ากำลังจะเกิดเหตุการณ์ “ให้คนที่ไม่ควรให้” และ “ทิ้งคนที่ไม่ควรทิ้ง” ขึ้นมาซะแล้ว…ช่วยดูดีๆ หน่อยนะครับ ท่าน รมต.ว่าการกระทรวงการคลังครับ.

“ซูม”