สำนักข่าวเมเนเจอร์ออนไลน์ พาดหัวเอาไว้ด้วยข้อความที่น่าสนใจมากๆ เมื่อวานนี้ว่า “ไทยเหลื่อมลํ้าที่สุดในอาเซียน” โดยอ้างอิงจากรายงานของศูนย์วิจัยความเหลื่อมลํ้าโลก (World Inequality Lab) ที่เพิ่งเผยแพร่ “รายงานความเหลื่อมลํ้าโลก 2569” ออกมาเมื่อเร็วๆ นี้
รายงานดังกล่าวระบุด้วยว่า “ผู้มีรายได้สูงสุด 10 เปอร์เซ็นต์ของประเทศไทย ครอบครองสัดส่วนรายได้ของประเทศอยู่ที่ 52 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ผู้มีรายได้ตํ่ากว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ มีสัดส่วนรายได้เพียง 11 เปอร์เซ็นต์…เหลื่อมล้ำทางรายได้สูงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค”
เมื่อไปดูความเหลื่อมลํ้าทางด้าน “ทรัพย์สิน” ก็พบว่าสถานการณ์หนักอึ้งยิ่งกว่า เหตุเพราะกลุ่มรายได้สูงสุด 10 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ มีสัดส่วนในทรัพย์สินสูงถึง 65 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่กลุ่มรายได้ตํ่ากว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ มีทรัพย์สินรวมอยู่เพียง 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง
ถามว่าผมรู้สึกอย่างไรบ้างกับข่าวนี้…ก็คงต้องตอบอย่างที่ตอบอยู่เสมอๆ ว่ารู้สึกห่วงใยที่สถานการณ์ดูแย่ลงไปทุกที…แต่จะทำอย่างไรได้…เพราะนี่คือความทารุณโหดร้ายประการหนึ่งของ ระบบเศรษฐกิจเสรี หรือ ทุนนิยม
นักเศรษฐศาสตร์ที่ออกมาอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนมาก คนหนึ่งก็คือ โทมัส พิเก็ตตี ที่ออกมาวิเคราะห์ไว้ในหนังสือ “ทุนนิยมในศตวรรษที่ 21” ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.2013 สร้างความฮือฮาจนกลายเป็นหนังสือที่ขายดีมากของ ค.ศ.นั้น
บทสรุปของท่านก็คือเหตุที่ “ช่องว่าง” ของรายได้และทรัพย์สินเกิดขึ้นในทุกประเทศทั่วโลกทุกวันนี้ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา และยุโรป เป็นเพราะผลตอบแทนของ “ทุน” สูงกว่าผลตอบแทนจากปัจจัยอื่นๆ นั่นเอง
ใครถือครองทุนอยู่มากก็จะยิ่งรวยมากขึ้นเป็นเงาตามตัวในบ้านเราเองมีการศึกษามีการวิเคราะห์ตัวเลขนี้มานานแล้ว และก็พบว่า “ช่องว่าง” ห่างขึ้นมาโดยตลอด…ล่าสุดจะเป็นอย่างไรในสายตาของทางการไทยเรา ผมเองไม่มีเวลากลับไปค้น…แต่ก็เดาๆ ได้ว่าตัวเลขน่าจะใกล้เคียงกับที่มีการเผยแพร่
ล่าสุดนี้เคยมีคนคิดต่อต้านหรือทำลายระบบทุนนิยมออกไปเป็นระบอบสังคมนิยม เป็นระบอบคอมมิวนิสต์ซึ่งก็พบว่าแทนที่จะดีขึ้นกลับแย่ลงอย่างหนัก จึงต้องหันมาสู่ทุนนิยมอีกหน กลายเป็น 1 ประเทศ 2 ระบบอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
นักเศรษฐศาสตร์จึงเห็นพ้องกันว่าถ้าอย่างนั้นก็เดินหน้าไปในระบอบนี้นั่นแหละ โดยหันมาเน้นบทบาทของ “รัฐบาล” ในฐานะ กรรมการ ให้ทำหน้าที่ให้เข้มแข็ง และเข้มงวดมากขึ้นเช่นสร้างระบบให้เป็นธรรมมากขึ้น เก็บภาษีคนรวยหนักขึ้น, เอาเงินภาษีมาลงทุนเพื่อการพัฒนาและเพื่อคนจนมากขึ้น…
อย่าง โทมัส พิเก็ตตี ก็เสนอให้เก็บภาษีจากผลตอบแทน “ทุน” ที่แรงขึ้นของบ้านเราก็อย่างที่ทราบ รัฐบาลยังทำหน้าที่ “กรรมการ” ที่ไม่ค่อยเที่ยงธรรม หรือเข้มงวดมากนัก ทำให้การแข่งขันไม่ค่อย เป็นธรรม ส่งผลให้ช่องว่างสูงกว่าใครๆ ในอาเซียน
ทุกครั้งที่เขียนถึงเรื่องนี้ผมจึงต้องเพิ่มมาตรการหนึ่งเข้าไปใน “โมเดลลดช่องว่าง” ของประเทศไทย ได้แก่ โมเดลว่าด้วย “เมตตาธรรม” จากคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยการขอร้อง ท่านมหาเศรษฐี ทั้งหลายให้แบ่งปันผลประโยชน์มาช่วยคนจนเยอะๆ…
เวลา นิตยสารฟอร์บส์ เผยแพร่คนไทยร่ำรวยสุด 20-30 คนแรก ผมจะฝากไว้เสมอๆ ว่าพวกท่านต้องทำบุญมากๆ ด้วยการลงไปช่วยคนจนบ้านเราให้มากๆ…
ทุกวันนี้ผมก็ยังเชื่อทฤษฎีนี้อยู่และยังต้องขอ “บอกบุญ” ท่านอภิมหาเศรษฐี ทุกระดับของประเทศไทยต่อไปและตลอดไปแม้จะลดช่องว่างของรายได้หรือทรัพย์สินไม่ได้มากนักก็ไม่เป็นไร…
แต่อย่าให้ “ช่องว่าง” ทาง “ความคิด” (ซึ่งอาจนำไปสู่ “ความแค้น”) เกิดขึ้นได้เป็นอันขาดเมตตาธรรมยังค้ำจุนโลกอยู่เสมอ…
หากมหาเศรษฐีทั้งหลายจะยังมีเมตตาธรรมอยู่ในหัวใจ ช่องว่างถ่างแค่ไหนเราก็ยังอยู่กันได้…ผมเชื่อเช่นนั้นครับ.
“ซูม”

