“แคนดิเดต” นายกฯภูมิใจไทย จะใช่ “เอกนิติ+ศุภจี” หรือไม่?

ข่าวใหญ่ฮือฮามากทางการเมืองเมื่อปลายๆ สัปดาห์ที่แล้วข่าวหนึ่ง คงต้องยกให้ข่าวนายกฯหนู อนุทิน ชาญวีรกูล  ออกมาคิดดังๆ ว่าจะเสนอรองนายกฯ และรัฐมนตรีคลังคนปัจจุบัน เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ

พร้อมด้วยรัฐมนตรีพาณิชย์ปัจจุบัน ศุภจี สุธรรมพันธุ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้งที่จะมาถึง

จะเป็นแค่ “โยนหินถามทาง” หรือ “อยากได้จริงๆ” เท่าที่อ่านคำสัมภาษณ์นายกฯ อนุทินจากหลายๆ สื่อ ผมสรุปว่า ท่าน “อยากได้จริงๆ” เพราะในบรรดารัฐมนตรี “คนนอก” ที่เชิญมาร่วมรัฐบาลในชุดนี้ ก็จะมี 2 ท่านนี่แหละที่ผลงานโดดเด่นถูกอกถูกใจประชาชนมากที่สุดจาก “โพล”

ส่วนตัวของผมที่สรุปจากการอ่านโซเชียลมีเดียหลายๆ สำนักพบว่า มีเสียงขานรับหรือตอบรับทั้ง 2 ท่านอย่างอุ่นหนาฝาคั่งมาก…

โดยคะแนนรวมคุณศุภจีจะนำหน้าคุณเอกนิติอยู่หน่อยๆ ผมเองในฐานะ FC ของทั้ง 2 ท่าน และให้กำลังใจนับตั้งแต่วันแรกที่มีข่าวว่า นายกฯ อนุทินจะเชิญมาร่วมรัฐบาลโน่นแล้ว

อ่านข่าวอ่านคอมเมนต์ต่างๆ ซึ่งกว่า 90 เปอร์เซ็นต์แสดงความเห็นด้วยกับท่านนายกฯอนุทินที่จะให้ท่านเป็นแคนดิเดตร่วมกับตัวนายกฯ เองในการเลือกตั้งที่จะมาถึง จึงพลอยรู้สึกปลื้มอกปลื้มใจไปด้วยแต่ผมก็เตรียมตัว “ฝันค้าง” ไว้เช่นกัน

เพราะเมื่อนักข่าวไปถามท่านรอง เอกนิติ ท่านก็เลี่ยงที่จะตอบเรื่องนี้ ถึงขั้นยกมือห้ามผู้สื่อข่าวว่าอย่าถามเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป

ในขณะที่ท่านรัฐมนตรีศุภจีก็ตอบนักข่าวว่า ได้ยินข่าวนี้พร้อมๆ กับผู้สื่อข่าวนี่แหละ เพราะช่วงนั้นไปปฏิบัติภารกิจที่สหรัฐฯ ต้องขอเวลาคุยกับนายกฯ ก่อน แม้จะรู้สึกภูมิใจและขอบคุณที่ท่านให้เกียรติ ช่วงนี้ขอทำงานปัจจุบันให้ดีที่สุดก่อน ฯลฯ

สำหรับผมเองค่อนข้างเชื่อว่า ท่านรัฐมนตรีพาณิชย์น่าจะปฏิเสธ เพราะถ้ายอมรับก็จะเป็นการเข้าสู่วิถี “การเมือง” เต็มตัว ซึ่งผมมองว่า คุณศุภจี ไม่ได้เตรียมตัวที่จะเข้าสู่อาชีพนี้การมาทำงาน “ช่วยชาติ” ชั่วคราว ตามที่นายกฯ อนุทินชักชวนมางวดนี้

ท่านต้องเสียสละอย่างมากในเรื่องรายได้ของท่านมีการเผยแพร่รายได้ของท่านเมื่อปีที่แล้วว่าสูงกว่า 30 ล้านบาท การที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีรายได้ทั้งปีอย่างเก่งก็แค่ล้านบาทเศษๆ ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว

นอกจากนี้พอมาเป็นนักการเมืองเต็มตัวสถานภาพก็จะเปลี่ยนไป เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ จะเปลี่ยนไปในทันที เวลาทำงานก็จะมีปัญหาอุปสรรคมากขึ้น การตัดสินใจในประเด็นต่างๆ ก็จะยากขึ้น

ขณะเดียวกันท่านก็ยังมีงานที่ ดุสิตธานี รออยู่ทุกวันนี้แม้งานจะสำเร็จไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ยังมีส่วนสำคัญหลายส่วนที่ท่านคงต้องการที่จะกลับไปดำเนินการให้สมบูรณ์ครบถ้วน

ผมฟันธงว่าท่านคงปฏิเสธความปรารถนาดีของนายกฯ อนุทินในที่สุด ซึ่งก็เป็นการปฏิเสธที่ผมเห็นด้วย และทำใจล่วงหน้าไว้แล้ว แม้ผมยังอยากจะเห็นท่านอยู่ช่วยแก้ปัญหาบ้านเมืองต่อไปก็ตาม

ในส่วนของท่านรองเอกนิตินั้น มีอายุเพียง 54 ปีเศษ หากกลับไปรับราชการต่อก็สามารถกลับได้ถ้ามีตำแหน่งรองรับ แต่ผมเชื่อว่าท่านคงไม่กลับ เพราะการได้เป็นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถือว่าเป็นตำแหน่งในระดับสูงสุดตำแหน่งหนึ่งที่คนร่ำเรียนมาทางเศรษฐศาสตร์ใฝ่ฝันอยู่แล้ว

การเป็นถึงรัฐมนตรีมาแล้วจะกลับไปเป็นอธิบดี หรือแม้แต่ปลัดกระทรวง ไม่ว่ากระทรวงไหนก็ตาม จึงไม่น่าจะเป็นทางเลือกของท่านนับแต่นี้เป็นต้นไปงานของท่านรองเอกนิติจึงจะอยู่ที่ภาคเอกชน ทั้งภายในประเทศหรือต่างประเทศ

ซึ่งผมคาดเดาว่าท่านจะเลือกทำหลังพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีในครั้งนี้ไหนๆ จะต้องทำงานภาคเอกชนแล้วทำไมไม่ลองทำงานด้านการเมืองดูบ้างล่ะ? เพื่อให้วงการเมืองของประเทศไทยมีคนเก่งคนดี และคนทำงานเป็นมาร่วมมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองด้วยไปในตัว

สำหรับกรณีของ ดร.เอกนิติ ผมขออนุญาตไม่ฟันธงก็แล้วกัน แต่อยากให้ท่านตัดสินใจเดินหน้าทางการเมืองต่อไปครับ…

และก็ควรจะรับข้อเสนอของนายกฯ อนุทินนี่แหละ…ไหนๆ ก็ร่วมทางกันมาแล้ว…แถมทำงานเข้าขากันดีเสียด้วยซี.

“ซูม”

การเมืองไทยเกี่ยวกับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย