ในที่สุดการประชุมนัดพิเศษระหว่างรักษาการนายกรัฐมนตรีไทย ภูมิธรรม เวชยชัย กับนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ของกัมพูชา โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นกาวใจ ก็จบลงด้วยมติให้ทั้งสองฝ่ายกัมพูชา-ไทยหยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข
โดยให้มีผลตั้งแต่เที่ยงคืนตามเวลาไทย-เขมรของวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม วันเดียวกับที่มีการประชุมนั่นเอง
ซึ่งหมายความว่า ณ หลังเวลาที่มีการแถลงข่าวและถ่ายภาพจับมือกันระหว่าง บิ๊กอ้วน กับ ฮุน มาเนต โดยมีอันวาร์ร่วมอยู่ด้วยเมื่อเวลาประมาณ 4 โมงเย็นของประเทศไทยนั้น ยังมีเวลาอีกร่วมๆ 8 ชั่วโมงที่การสู้รบของทั้ง 2 ฝ่ายยังกระทำได้
มีรายงานว่ากองกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายต่างปะทะกันอย่างหนัก โดยเฉพาะฝ่ายกัมพูชาที่ระดมพลถาโถมเข้าโจมตีเพื่อยึดพื้นที่ในประสาทต่างๆ ที่เป็นเป้าหมายให้ได้ อันหมายถึงสัญลักษณ์ของชัยชนะและความได้เปรียบในการเจรจาหลังจากหยุดยิงแล้วเป็นต้นไป
ผมติดตามข่าวอยู่จนถึงเที่ยงคืน จนกระทั่งได้รับรายงานว่าเสียงปืนสงบลงแล้วจากทั้งสองฝ่ายจึงเข้านอนเมื่อเวลาประมาณ 1 นาฬิกา หลับปุ๋ยไปจนถึงเช้า หลับด้วยความสบายใจและโล่งใจที่สงครามกำลังจะยุติลงและมีข่าวว่าเรายึดหรือปกป้องพื้นที่เป้าหมายได้ทั้งหมด
ที่ไหนได้ ตื่นขึ้นมาตอนเช้า กลับมีแถลงการณ์จากกองทัพบกของเราว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงโจมตีอย่างต่อเนื่อง
กลับมาระดมยิงอย่างหนักตอนใกล้รุ่งของวันอังคาร และยิงต่อสู้กันจนถึงเช้า และเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ทำให้การเจรจาของผู้นำทหารในพื้นที่ของทั้ง 2 ฝ่าย ตามมติของการตกลงหยุดยิงที่มาเลเซียต้องเลื่อนออกไปจาก 7 โมงเช้า เป็น 10 โมง
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามรายงานข่าวดังกล่าว ชี้ให้เห็นถึงความไม่จริงจังและไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเริ่มฉายให้เห็น
ทำให้ไม่ทราบว่าการเจรจาหรือการประพฤติปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ จากนี้ไปจะเป็นอย่างไรบ้าง
แต่เอาเถิดเมื่อในที่สุดการหยุดยิงก็เกิดขึ้นได้ ผมก็ขอขอบคุณทุกๆ ฝ่ายที่อยู่เบื้องหลัง “สันติภาพ” ครั้งนี้ โดยเฉพาะท่านอันวาร์ อิบราฮิม และโดนัลด์ ทรัมป์ สทร. ระดับโลกที่ยื่นมือเข้ามาด้วยในครั้งนี้
ผลของการสู้รบแม้เราจะเหนื่อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด และสูญเสียกำลังพลน้อยกว่าอย่างเทียบกับฝ่ายเขมรมิได้เลย ซึ่งต้องสูญเสียมากมายจากการรายงานของแหล่งข่าวกรองต่างๆ
แต่… สูญเสียก็คือสูญเสีย และไม่ว่ายศชั้นใดหรือเชื้อชาติใด ย่อมมีความเป็นมนุษย์เท่ากัน
ขอสดุดีทหารกล้าของเราที่พลีเพื่อชาติทุกๆท่านไว้ ณ ที่นี้อีกครั้ง
หวังว่าจากนี้ไปฝ่ายเขมรจะรู้จักคำว่า “จริงจัง” และ “จริงใจ” มากขึ้น ในการเจรจาและอยู่ร่วมกับประเทศไทยอย่างเป็นมิตร
จริงๆ แล้วผมมั่นใจว่ากว่าครึ่งหนึ่งของคนกัมพูชามีจิตใจที่เป็นมิตรกับคนไทยและชื่นชอบประเทศไทย เห็นได้จากความชอบในสินค้าไทยและความบันเทิงต่างๆ ไม่ว่าภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ และเสียงเพลงทั้งลูกกรุงลูกทุ่งของไทย
แต่โชคร้ายที่กัมพูชามักมีผู้นำทางการเมืองที่หวังจะสร้างคะแนนนิยมให้แก่ตนเองและตระกูลของตนอย่างง่ายๆ ด้วยการปลุกความเป็นชาตินิยมยกไทยเป็นเป้าโดยอาศัยเรื่องราวในประวัติศาสตร์เป็นเชื้อและชนวน ซึ่งมักจุดติดง่ายๆ เสมอ
หวังว่าทั้ง 2 พ่อลูกจะมีจิตสำนึกขึ้นมาบ้าง… เพราะสงครามครั้งนี้ 2 พ่อลูกไม่เพียงจะแพ้ในการสู้รบเท่านั้น ยังแพ้ในเชิงชื่อเสียงเกียรติยศในระดับโลกอีกด้วย
ชาวโลกเขาไม่ชอบฮุนเซนมานานแล้ว… ไม่มีใครเขาชอบหรอก เผด็จการที่ครองอำนาจมานานและได้ใช้อิทธิพลในทางผิดๆ มาตลอดเวลา รวมทั้งครั้งนี้ซึ่งยิงก่อนและยิงใส่ประชาชนผู้บริสุทธิ์… ผมว่าคลิปที่พวกคุณยิงใส่ปั๊มน้ำมันและเซเว่นอีเลฟเว่นคลิปเดียวคุณก็แพ้แล้ว
2 พ่อลูกจะยอมเป็น “เสือสำนึกบาป” หรือไม่… คงจะต้องรอดูกันต่อไป… โดยส่วนตัวผมเอาใจช่วย ขอให้พวกเขาสำนึก… แม้ว่าลึกๆแล้วผมจะเชื่อว่าไม่มีวันสำนึกหรอกคนพันธุ์นี้… ช.ต.พ.
“ซูม”