ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับวันนี้ยังไม่ทราบว่าผลการประชุมเพื่อหาแนวทางไปสู่สันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชา ตามคำเชื้อเชิญของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและคำขอร้องแกมครูเรื่องเจรจาภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเริ่มขึ้น ณ บ้านพักนายกฯมาเลเซียในบ่ายวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม…จะลงเอยอย่างไร?
ข่าวล่าสุดก่อนการประชุมแจ้งว่า ในการประชุมซึ่งมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายอันวาร์ อิบราฮิม เป็นเจ้าภาพครั้งนี้ จะมีผู้แทนของสหรัฐอเมริกาเป็น “ประธานร่วม” อยู่ด้วย และขณะเดียวกันก็จะมีผู้แทนจากรัฐบาลจีนเข้าร่วมสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด
ทางฝ่ายเขมรจะมีนายกรัฐมนตรี นายฮุน มาเนต เป็นผู้นำคณะ… โดยที่ทางฝ่ายไทยเราจะนำทีมโดยรักษาการนายกรัฐมนตรีนายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นหัวหน้าคณะ พร้อมด้วย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ, พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม, นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะกรรมการ ศบ.ทก. เข้าร่วมด้วย
ผมหวังว่าผลการประชุมจะออกมาในแง่มุมที่ประเทศไทยของเราจะไม่เสียเปรียบ และไม่เสียประโยชน์ในทุกๆ กรณี หรือตกเป็นเบี้ยล่างของฝ่ายกัมพูชาที่ทั้งโลกทราบเป็นอย่างดีแล้วว่าเป็นฝ่าย เปิดฉากยิงก่อน
ต่อมาในระหว่างสู้รบเขมรก็มุ่งแต่จะโจมตีชุมชน อาคารบ้านเรือน โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน และร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ อย่างไร้มนุษยธรรมเป็นเหตุให้พลเรือนไทย รวมทั้งเด็กๆ ด้วยต้องเสียชีวิตโดยไม่ทันรู้ตัว
ผมเชื่อว่าคนไทยที่มีจิตใจรักษาความสงบ รักความยุติธรรมเป็นอุปนิสัยประจำชาติอยู่แล้ว ย่อมไม่ประสงค์ว่าเราจะต้องได้เปรียบอย่างมากจากการเจรจาครั้งนี้… แต่แน่นอนเราก็ไม่ต้องการที่จะให้การเจรจาจบลงในแบบที่เราเสียเปรียบเช่นกัน
แม้ว่าในภาพรวมของผู้แทนฝ่ายไทยเราจะไม่มีบุคคลใดที่โดดเด่นในภาษาอังกฤษอย่างชัดเจน นอกเสียจากท่านรัฐมนตรีต่างประเทศ
ต่างกับฝ่ายกัมพูชา นายฮุน มาเนต ซึ่งเรียนต่างประเทศตั้งแต่ปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก น่าจะภาษาอังกฤษดีกว่า
อาจจะได้เปรียบทีมไทยในการใช้ภาษาอังกฤษ และอาจใช้ความได้เปรียบในการประชุมเจรจาครั้งนี้
ผมจึงหวังว่าท่านรัฐมนตรีต่างประเทศของเรา คุณมาริษ ซึ่งแตกฉานภาษาอังกฤษที่สุดแล้ว รวมถึงฝ่ายเลขานุการ หรือล่ามจากกระทรวงต่างประเทศ(ถ้ามี) จะช่วยสรุปประเด็นหลักๆ ให้คณะของเราฟังอย่างละเอียดและหารือประเด็นต่างๆ เป็นภาษาไทยอย่างรอบคอบ
ก่อนที่จะมอบหมายให้ “บิ๊กอ้วน” ของเรา แถลงอย่างเป็นทางการเป็นภาษาไทยแล้วค่อยแปลเป็นภาษาอังกฤษโดยท่านรัฐมนตรีต่างประเทศหรือเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ
ต้องยอมรับความจริงว่า ในช่วงแรกๆ หลังเกิดเหตุปะทะกันครั้งนี้ ผลงานของกระทรวงต่างประเทศไม่ค่อยประทับใจประชาชนและสื่อมวลชนเท่าไรนัก แต่ก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลัง โดยเฉพาะนับตั้งแต่การกล่าวแถลงอย่างแข็งกร้าวของเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติต่อที่ประชุม UNSC ที่ผ่านมา
รวมทั้งการเข้าพบปะเจรจากับเจ้าหน้าที่และผู้แทนระดับสูงของประเทศต่างๆ ในองค์การสหประชาชาติ ที่ท่าน รมต.มาริษ ไปร่วมประชุมเรื่องอื่น แต่ก็ใช้เป็นโอกาสในการชี้แจงเกี่ยวกับความโหดร้ายไร้มนุษยธรรมของกัมพูชาไปด้วย
มีผลทำให้ความเชื่อถือและเชื่อมั่นของคนไทยต่อกระทรวงการต่างประเทศกลับคืนมาได้มากพอสมควร
ผมหวังว่าทีมไทยแลนด์ของ “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย และท่าน รมว.ต่างประเทศ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ จะไม่พลาดท่าเสียทีในการเจรจาครั้งนี้
อย่างที่ผมเกริ่นไว้ตอนต้น ผมไม่หวังว่าเราจะได้เปรียบและหวังเพียงแค่ไม่ให้เราเสียเปรียบเท่านั้น แต่ถ้ามันจบแบบเราได้เปรียบบ้าง ผมก็ยินดีครับ.
“ซูม”