จากเหตุการณ์อื้อฉาวเกี่ยวกับกรณีพระสงฆ์เสพเมถุนกับสีกา และมีการนำบริจาคไปใช้โดยมิชอบ ซึ่งเป็นที่ห่วงใยว่าศรัทธาต่อพุทธศาสนาจะเสื่อมถอยลงหรือไม่? นั้น…”นิด้าโพล” ไปสำรวจความคิดเห็นของประชาชนมาแล้วครับ
สรุปข้อใหญ่ใจความได้ว่าในระหว่างวันที่ 14-16 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผลจากการสำรวจประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปจำนวน 1,310 หน่วยได้รับความคิดเห็นในประเด็นที่สำคัญดังนี้
ในด้านความ ศรัทธา ของประชาชนต่อศาสนาและพระสงฆ์พบว่าในพระสงฆ์ลดน้อยร้อยละ 58.40 และเท่าเดิมร้อยละ 41.60 ส่วนในกรณีพุทธศาสนาตอบว่าเท่าเดิมหรือไม่ลดลงร้อยละ 68.55 และลดลงร้อยละ 31.45 ซึ่งสอดคล้องกับความคิดเห็นที่ผมนั่งสังเกตการณ์จากการอ่านบทความและคอลัมน์ต่างๆ หลังเกิดเหตุ ที่ส่วนใหญ่จะเชื่อว่า ศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาจะไม่ลดลงมาก
เมื่อถามถึง พ.ร.บ. ส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ที่รัฐบาลจะเสนอให้สภาพิจารณาเกี่ยวกับกรณีพระสงฆ์ต้องอาบัติปาราชิกที่กำหนดโทษไว้ให้ “ปรับ” หรือทั้ง “จำและปรับ” ทั้งพระสงฆ์และฆราวาสด้วยได้รับคำตอบว่า
เห็นด้วยอย่างมากถึงร้อยละ 80.76 ในกรณีปาราชิกอันเนื่องจากการเสพเมถุน และรองลงมาก็เห็นด้วยว่าควรลงโทษพระที่ต้องปรชิกในข้ออวดอุตริมนุสธรรม ร้อยละ 78.17
ผลสำรวจในประเด็นนี้ก็สอดคล้องกับความคิดเห็นของสื่อมวลชนส่วนใหญ่ที่ผมอ่านจากเหตุการณ์ครั้งนี้และย้อนหลังไปอ่านเหตุการณ์ที่เกิดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาประกอบไปด้วย
หลายๆ คอลัมน์หยิบยกโทษานุโทษที่ประเทศไทยของเราเคยกำหนดไว้ โดยเฉพาะในรัชสมัยของรัชกาลที่ 1 ประมาณพ.ศ. 2325
หลังจากมีพระราชปรารภถึงเหตุการณ์และสถานการณ์ของพระสงฆ์ช่วงเวลาดังกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
“และทุกวันนี้เป็นฝ่ายพุทธจักรวางมือเสีย ประการหนึ่งเข้าใจว่าศาสนาถึงเพียงนี้แล้วไม่เห็นจะบำรุงให้วัฒนาขึ้นได้ จึงมิได้ระวังระวัยว่ากล่าวกัน ให้เกิดมหาโจรปล้นทำลายพระศาสนา ทั้งสมณะและสามเณรมิได้รักษาพระจตุปริสุทธิศีล ร่ำเรียนธุระทั้ง 2 ประการแลชวนกันเที่ยวเข้าตลาดแลดูสีกา มีอาการกิริยานุ่งห่มเดินเหินอย่างฆราวาส”
“มิได้สำรวจรักษาอินทรีย์ มิได้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่ทายกฝ่ายภิกษุสามเณรบาปลามก ครั้งคุ้นเคยเข้ากับสีกาแล้วก็เข้าบ้านนอนบ้านผิดเพราตรี พูดจาสีการูปชีก็ความเสน่หารักใคร่ ทั้ง 2 ฝ่ายสัมผัสกายกระทำเมถุนธรรมเป็นปาราชิก”
“บัดนี้ให้พระราชาคณะ ฐานานุกรม สังฆการี ธรรมการ ราชบัณฑิต พร้อมกันชำระพระสงฆ์ซึ่งเป็นอลัชชีภิกษุ พิจารณารับเป็นสัตว์ให้พระราชทานผ้าขาวสึกออกเสียงจากศาสนา สักเลขเป็นไพร่หลวง ใช้ราชการให้หนัก หวังมิดูเยี่ยงอย่างกัน”
จะเห็นว่า บทลงโทษอลัชชีในยุครัชกาลที่ 1 ค่อนข้างหนักมากมีการบันทึกไว้เพิ่มเติมว่า ไม่เพียงแค่จับศึกเท่านั้น ยังมีการเฆี่ยนตีนำตัวไปประจานตะเวนบกสามวันตะเวนเรือสามวันและสักหน้าผากแจ้งทูตไว้ให้ปรากฏ เพื่อจะไม่ให้กลับมาปลอมตัวบวชได้อีกต่อไป
มาถึงยุคปัจจุบัน แม้จะผ่านไปแล้วกว่า 200 ปี พฤติกรรมของพระสงฆ์จำนวนหนึ่งก็ยังเป็นดั่งเช่นที่เคยเกิดขึ้นในยุคต้นรัตนโกสินทร์ แต่ช่วงหลังหลังเราไม่มีบทลงโทษอะไรจากทางโลกนอกจากทางทำวินัยซึ่งก็แค่จับศึกเท่านั้น
การรื้อฟื้นโทษทางอาญาขึ้นจึงเป็นเรื่องสมควร แม้จะไม่ควรรุนแรงดุดันเหมือนอดีต แต่ก็ควรที่จะต้องมีไว้อย่างที่เสนอกันตามข่าวว่าปรับสูงสุด 240,000 บาท จำคุก 1-7 ปีหรือทั้งปรับและจำ ผมก็ว่าพอรับได้ ขอเพียงให้ มีโทษไว้บ้างเป็นการป้องปราม
ฝากท่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีใหม่เอี่ยมอ่อง สุชาติ ตันเจริญ ในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เจ้าของร่างพรบฉบับนี้ไว้ด้วยก็แล้วกัน…เร่งๆ หน่อยนะครับเสนอรวดเดียวผ่าน 3 วาระอย่างที่แถลงไว้ จะขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งขอรับ ท่านรัฐมนตรี!
ซูม