“อยุธยา” ปากซอยบ้าน ไปกี่ทีๆ ก็มีความสุข

เมื่อวันเสาร์ช่วงหยุดยาวหลังวันพระใหญ่ “อาสาฬหบูชา” และวันเข้าพรรษา ผมและลูกๆ หลานๆ ไปเที่ยว “จังหวัดพระนครศรีอยุธยา” เมืองมรดกโลกมา 1 วันเต็มๆ ครับ

เหตุเพราะเจ้าหลานชายคนเล็กอายุ 6 ปีซึ่งแม้จะติดมือถือติดไอแพดงอมแงมแบบเด็กรุ่นใหม่ช่วง 3-4 ขวบเคยหลงใหล ก็อตซิลลา สัตว์ประหลาดญี่ปุ่นงอมแงม จากนั้นก็มาชอบไดโนเสาร์พันธุ์ต่างๆ ท่องชื่อได้เกือบหมด

แต่เมื่อปลายปีที่แล้วนี่เองผมได้รับเชิญจากบริษัทไทยเบฟฯ ไปดูชม โขน ของมูลนิธิส่งเสริมศิลปชีพตอน “พระจักราวตาร” ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ก็เลยหิ้วหลานไปดูด้วยปรากฏว่าเจ้าหลานเกิดติดอกติดใจ “หนุมาน” มาตั้งแต่บัดนั้น

รบเร้าขอให้พ่อแม่พาไปดู ศูนย์การเรียนรู้โขน ที่ศูนย์ศิลปชีพเกาะเกิด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เหตุเพราะผมเคยไปเมื่อหลายปีก่อนและเก็บมาเขียน “ซอกแซก” ด้วยมักจะเล่าให้เจ้าหนูซึ่งตอนนั้นไม่ได้ไปด้วยฟังอยู่บ่อยๆ จนเจ้าหนูจำขึ้นใจและเมื่อไปดูโขนศิลปะชีพกลับมาแล้วก็รบเร้าให้พ่อแม่พาไปดูศูนย์เรียนรู้เรื่องโขนที่ว่าโดยตลอด

เพิ่งมาได้ฤกษ์งามยามดี เมื่อช่วงหยุดยาวนี่แหละครับ

ผมจะเขียนเหล้ารายละเอียดเกี่ยวกับ “ศูนย์เรียนรู้เรื่องโขน” ในฉบับซอกแซกวันอาทิตย์นี้ครับโปรดอย่าลืมติดตามอ่านกันนะครับเผื่อจะมีโอกาสเชิญชวนลูกๆ หลานๆ ของท่านไปเที่ยวชมบ้างเพื่อเพาะบ่มความเป็นไทยตั้งแต่เยาว์วัยให้แก่ลูกๆ หลานๆ ของเรา

สำหรับวันนี้ขออนุญาตเขียนถึงบรรยากาศทั่วๆ ไปในตัวเมืองอยุธยาก็แล้วกันถือโอกาสรายงานถึงสภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจการท่องเที่ยวในเทศกาลวันหยุดยาวของอยุธยาเมืองท่องเที่ยวสำคัญระดับมรดกโลกว่าเป็นอย่างไรบ้าง

เพราะหลังจากดูนิทรรศการจบใกล้เที่ยงพอดีคณะของเราก็ปักหมุดไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านข่าวละอ่อร้านดังในตัวเมืองอยุธยาที่ผมเคยมารับประทานหนนึงหลายปีก่อน

ช่วงนั้นคุณ “เข็มทัตน์ มนัสรังษี” ประธานผู้ก่อตั้งบริษัท  K-Fresh จำกัด บริษัทส่งออกมะพร้าวน้ำหอมระดับพรีเมียมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ได้เชิญชวนญาติสนิทมิตรสหายจำนวนหนึ่งรวมทั้งผมด้วยไปทัศนศึกษาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พร้อมกับเชิญท่านอาจารย์ “สุเนตร ชุตินธรานนท์” นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกรุงศรีอยุธยา และเคยเป็นที่ปรึกษาของ “ท่านมุ้ย” เมื่อครั้งสร้างภาพยนตร์ชุด “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร” มาเป็น “วิทยากร” ให้พวกเราด้วย

ผมยังเก็บมาเขียน “ซอกแซก” อยู่หลายสัปดาห์รวมทั้งเขียนถึงร้านอาหาร “ขาวละออ” เป็นกรณีพิเศษในหน้า 5 อยู่หลายวัน

เหตุเพราะร้านนี้มีเมนูเด็ด “ปลาทูยักษ์” หรือ “ปลาทูโอมาน” ตัวใหญ่กว่าแขนเด็ก ที่ขายดีมาก ทำให้ผมทราบเป็นครั้งแรกว่า “ปลาทูโอมาน” บุกเข้ามาตีตลาด “ปลาทูไทย” จึงต้องเขียนเรื่องปลาทูไทยควบคู่ไปไปด้วยเพื่อยืนยันว่าปลาทูไทยยังอยู่และยังไม่แพ้ โอมาน หลายๆ ท่านคงจะได้อ่านผ่านตากันอยู่บ้าง

ที่ต้องเขียนถึงในวันนี้อีกครั้งก็เพื่อจะแสดงความยินดีกับ “ร้านขาวละออ” เพราะเมื่อวันเสาร์ที่แล้วรอบเที่ยงวันลูกค้าแน่นถนัดสวนภาวะเศรษฐกิจไปเลยครับ

ขณะเดียวกันในตัวเมืองก็มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นโดยเฉพาะธุรกิจ “ขี่ช้าง” ชมเมืองมีคนขึ้นนั่งหลังช้างเดินไปมาเต็มถนนหน้าบริเวณ วัดศรีสรรเพชญ์ เห็นแล้วน่าชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก

ก่อนกลับผมแวะกราบหลวงพ่อโตที่วัดพนัญเชิงมาด้วย…รู้สึกปลาบปลื้มเช่นกันที่ผู้คนทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวยังเข้าไปกราบท่านและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ประจำวันแน่นขนัดจนถึง 4 โมงเย็น

บอกแล้วไงครับว่า “อยุธยา” อยู่แค่ปากซอยบ้านผมเองจากบางกะปิขับรถชั่วโมงกว่านิดๆ ก็ถึงแล้ว…มีโอกาสอย่าลืมแวะไปเที่ยวไปไหว้พระไปเรียนประวัติศาสตร์ ฯลฯ กันนะครับ…เชื่อผมเถอะไม่ว่าจะไปกี่ครั้งกี่หนก็มีความสุขกลับมาทุกครั้งไป

ซูม

นักท่องเที่ยวขี่ช้างชมเมืองอยุธยาในวันหยุดยาว บริเวณวัดศรีสรรเพชญ์