เมื่อช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งนำทีมไทยแลนด์ไปเจรจากับทีมของสหรัฐฯ
เรื่องการกำหนดภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้าจากประเทศไทย ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. รอบแรกไม่ได้ข้อยุติใดๆ และท่านได้เดินทางกลับประเทศไทยเรียบร้อยแล้วนั้น ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลว่า
ท่านในฐานะหัวหน้าทีมประเทศไทยได้ส่งรายละเอียด “เพิ่มเติม” ไปยังสหรัฐฯ ตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคมแล้ว ถือว่าไปถึงมือฝ่ายสหรัฐฯก่อนเส้นตายวันที่ 9 กรกฎาคมที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำหนดไว้
ท่านรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิชัย ชุณหวชิร ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดของข้อเสนอที่ปรับใหม่ โดยถือว่ายังเป็นเรื่องลับอยู่ ซึ่งเมื่อเสนอไปแล้วก็รอดูว่าทางฝ่ายสหรัฐฯจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีของไทยเราจะอยู่ในกลุ่มที่จะได้รับจดหมายแจ้งผลโดยไม่มีการเจรจากันอีกดังที่สหรัฐฯแถลงว่าจะทยอยแจ้งไปเรื่อยๆ? หรือว่าจะอยู่ในกลุ่มที่จะเจรจาต่อ เพราะยังมีเวลาอีก 2 วัน? ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตอบว่า “ต้องดูก่อนเขาว่าอย่างไร?”
ผู้สื่อข่าวฟังคำตอบแล้วก็อดตั้งข้อสงสัยมิได้ว่า ถ้าทางโน้นเขาเปิดให้เจรจาต่อ ท่านรองนายกฯพิชัยจะบินไปทันหรือเพราะวันที่ 7 ก.ค.ท่านยังอยู่ประเทศไทยอยู่เลย และกำหนดเส้นตายก็เหลืออีกแค่ 2 วันเท่านั้น
หรือว่าทางฝ่ายสหรัฐฯ ยินดีจะใช้วิธีประชุมทางไกลแบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ผ่าน ZOOM อย่างที่นิยมกันอยู่ในหลายๆ การประชุม? หรืออย่างไรแน่คงต้องลุ้นกันต่อไป
วันนี้ 9 กรกฎาคม ถึงเส้นตายแล้วครับ…เดี๋ยวก็คงรู้ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรแน่?
ถ้ายึดบรรทัดฐานที่ เวียดนาม หนึ่งในชาติอาเซียนที่เจรจาตกลงกับสหรัฐฯจนได้กรอบหลักๆ แล้วว่า เวียดนาม จะจ่ายภาษีให้แก่สหรัฐฯในอัตรา 20 เปอร์เซ็นต์ สำหรับสินค้าทุกชนิดที่ส่งเข้าสหรัฐฯ และอัตรา 40 เปอร์เซ็นต์ สำหรับสินค้าถ่ายลำหรือสินค้าที่เข้ามาสวมสิทธิ์ของเวียดนาม แต่ในทางกลับกันเวียดนามจะเปิดตลาดให้แก่สินค้าสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ โดยไม่เก็บภาษีศุลกากรใดๆจากสหรัฐฯ เลย
ประเด็นที่นักวิเคราะห์ฝ่ายไทยคาดหวังก็คือ อัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯจะเก็บจากสินค้าเราน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 20 เท่าเวียดนาม หรือน้อยกว่า เพราะเราได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ น้อยกว่าเวียดนามและย้อนไปเมื่อเดือนเมษายนสหรัฐฯประกาศจะเก็บเวียดนามถึง 46 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่จะเก็บไทย 36 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ดีในส่วนที่จะเก็บจากสินค้าสหรัฐฯ นั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะยอมใช้อัตรา “0” คือไม่เก็บอะไรเลยทั้งหมด เพราะจะมีผลกระทบต่อสินค้าที่ผลิตในประเทศเราอีกหลายๆชนิด
ท่านเลขาธิการสภาพัฒน์ ดนุชา พิชยนันท์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันก่อนว่า ท่านคาดการณ์เบื้องต้นไว้ที่อัตรา 18 เปอร์เซ็นต์ โดยอิงจากข้อมูลของประเทศต่างๆ ที่เจรจาตกลงกับสหรัฐฯได้แล้ว
ผมเองแอบภาวนาและลุ้นเอาไว้ที่อัตราร้อยละ 20 ขอเท่าๆ เวียดนามนั่นแหละ แต่ถ้าต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ คือไปออกที่ 18 เปอร์เซ็นต์ อย่างที่ท่านเลขาธิการสภาพัฒน์คาดหวังก็ถือว่าเป็นกำไร
ครับ! ในที่สุดแล้ว “เลขที่ออก” จะเป็นตัวเลขใด? 20 เปอร์เซ็นต์ หรือต่ำกว่า? หรือสูงกว่า? คงต้องลุ้นกันต่อไปด้วยใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ
ป.ล.มีข่าวล่าสุดว่า สหรัฐฯ อาจเลือนเส้นตายไปอีก เป็น 1 สิงหาคม เนื่องจากผมไม่มีเวลาพอที่จะตรวจสอบความถูกต้อง ก็ขอฝากท่านผู้อ่านช่วยตรวจสอบด้วย
แต่จะ 9 กรกฎาคม หรือ 1 สิงหาคม ก็ต่างกันแค่ 22 วันเท่านั้น ยืดลมหายใจออกไปแค่นิดเดียว…รู้ผลเร็วๆ ซะจะดีกว่าครับ จะได้เตรียมตัวเตรียมใจเผชิญสถานการณ์ให้รู้แล้วรู้รอด โดยไม่ต้องรอลุ้นระทึกให้ “เครียด” ต่อไปอีก.
“ซูม”