ปิดตำนาน “พฤษภาทมิฬ” “บิ๊กสุ” ในความทรงจำ

เมื่อช่วงสายๆของวันอังคารที่ 10 มิถุนายน 2568 สำนักข่าวทุกสำนักรายงานอย่างพร้อมเพรียงกันว่า พล.อ.สุจินดา คราประยูร หรือ “บิ๊กสุ” นายกรัฐมนตรีคนที่ 19 ของประเทศไทย ได้ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบด้วยโรคชรา เมื่อเวลา 01.57 น. ณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า สิริอายุ 91 ปี 10 เดือน 4 วัน

ถือเป็นการปิดตำนานของนายทหารที่เข้ามายึดอำนาจและกล่าวในตอนแรกว่าจะไม่รับตำแหน่งใดๆ หลังทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2534 แล้วก็ได้เชิญนาย อานันท์ ปันยารชุน มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 18 ของประเทศไทย ระหว่าง 2 มีนาคม 2534 ถึง 7 เมษายน 2535 หรือ 1 ปี 1 เดือนเศษๆ

ผลงานหลักของนาย อานันท์ ปันยารชุน ก็คือ การใช้ระยะเวลาที่อยู่ในตำแหน่ง 1 ปีเศษดังกล่าว แก้ไขกฎหมายสำคัญๆ ที่จะเป็นหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ จนแล้วเสร็จเป็นส่วนใหญ่ จากนั้นก็จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 22 มีนาคม พ.ศ.2535

จากผลการเลือกตั้งดังกล่าว พรรคร่วมลงมติเลือก นาย ณรงค์ วงศ์วรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ประกาศออกมาว่า นาย ณรงค์ วงศ์วรรณ ติดบัญชีดำถูกห้ามเข้าสหรัฐฯ เพราะเคยมีคดีความเกี่ยวกับยาเสพติด

พลเอกสุจินดาจึงประกาศถอนคำพูดตนเองที่ว่า จะไม่มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเสนอชื่อตนเองเป็นแทน ทำให้สื่อมวลชน กล่าววลีล้อเลียนว่า “ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติ” เข้าดำรงตำแหน่งนายก

รัฐมนตรีคนที่ 19 เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2535 ได้รับการคัดค้านจาก พลตรี จำลอง ศรีเมือง และนักการเมืองอีกหลายพรรคที่ลงเลือกตั้ง โดยออกมาชุมนุมประท้วงว่าเป็นการสืบทอดอำนาจของฝ่ายทหาร

นำไปสู่เหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ที่ฝ่ายทหารออกมาใช้กำลังปราบปรามประชาชนที่พากันลุกฮือต่อสู้ จนในที่สุดวันที่ 20 พฤษภาคม 2535 ในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงมีรับสั่งให้พลเอกสุจินดา และพลตรีจำลอง เข้าเฝ้าฯให้ทั้ง 2 ฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ซึ่งต่อมาพลเอกสุจินดาก็ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24 พฤษภาคม

นับเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอายุปฏิบัติงานเพียงแค่ 1 เดือนกับ 7 วันเท่านั้น

โดยส่วนตัวของผมเองในฐานะที่เคยรับผิดชอบงานด้านพัฒนาชนบทเป็นผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาชนบทแห่งชาติ ช่วยท่านเลขาธิการสภาพัฒน์ในอดีตมาโดยตลอด จึงมีโอกาสได้ทำงานกับท่านในช่วงที่เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่เดือนเศษๆ

วันที่ 17 พฤษภาคม 2535 ซึ่งเป็นวันแรกของเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ท่านเดินทางไปดูงานด้าน “ป่าชุมชน” หรือการให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่า กับคณะกรรมการพัฒนาชนบทแห่งชาติ ที่ จังหวัดน่าน และมีกำหนดพักค้างคืนที่น่าน เพื่อดูงานอื่นๆ ต่อในวันรุ่งขึ้น

แต่ปรากฏว่าในคืนนั้นเองการเดินขบวนก็มาถึงจุดวิกฤติสูงสุด เมื่อขบวนเคลื่อนมาใกล้ถึงโรงพักนางเลิ้ง ซึ่งอาจเกิดเหตุร้ายแรงได้ทุกเมื่อ

พอเที่ยงคืนเศษก็มีคำสั่งให้คณะดูงานชนบททั้งหมดกลับกรุงเทพฯ ด่วนด้วยเครื่องบินพิเศษของกองทัพบก…

จากวันนั้น 17 พ.ค.2535 หรือวันแรกของพฤษภาทมิฬจนถึงวันที่ผมเขียนต้นฉบับวันนี้ (10 มิ.ย.2568) ซึ่งเป็นวันที่ท่านถึงแก่อสัญกรรมด้วย รวมแล้ว 33 ปีกับ 24 วันโดยประมาณ ที่ผมกับท่านไม่เคยเจอกันอีกเลย

ในฐานะอดีตข้าราชการที่ต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมืองอย่างเคร่งครัด และต้องทำงานให้แก่ทุกรัฐบาล และทุกนายกฯที่มารับผิดชอบประเทศ (ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ) ผมอาจสรุปความเห็นของผมสั้นๆ ได้ดังนี้

มองจากการ “พัฒนาประชาธิปไตย” ถือได้ว่า ช่วง “พฤษภาทมิฬ” เป็นช่วงแห่งการตกตํ่าอย่างน่าเศร้าช่วงหนึ่งของระบอบ ประชาธิปไตยในประเทศไทย

แต่มองจากแง่มุมของการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะด้านการพัฒนาชนบทที่ผมเคยรับผิดชอบ…ก็คงต้องขอบคุณ “บิ๊กสุ” สำหรับความตั้งใจที่ท่านมีต่อพี่น้องชาวชนบทไทย โดยลงไปเยี่ยมการพัฒนาชนบทถึง 3 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ, จันทบุรี และน่านแม้จะมีเวลาทำงานเพียงแค่ 1 เดือนกับ 7 วันเท่านั้นก็ตาม.

“ซูม”

เหตุการณ์พฤษภาทมิฬและ พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรีคนที่ 19 ของไทย