“ไม่ค้าน” แต่ “เตือนไว้” จัดแข่ง “F1” แพงมาก!

ในการเดินทางไปเยือนอังกฤษและโมนาโกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ได้เข้าเฝ้าเจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 แห่งราชรัฐโมนาโกด้วย พร้อมทั้งโพสต์ข้อความเล่ารายละเอียดว่า “ได้แลกเปลี่ยน” ทัศนะอย่างรอบด้านเกี่ยวกับศักยภาพเชิงยุทธศาสตร์ของการแข่งขัน Formula 1

ซึ่งรัฐบาลนี้โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยมีเจตนารมณ์มุ่งมั่นที่จะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถสูตร 1 หรือฟอร์มูลาวันมาตั้งแต่เมื่อครั้งคุณ เศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

แสดงถึงความตั้งใจของรัฐบาลในเรื่องนี้ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง

นายกรัฐมนตรีจึงเดินทางไปเฝ้าและสนทนากับเจ้าชายแห่งโมนาโก ซึ่งเป็นสนามแข่งรถสูตรหนึ่ง ในนามของ โมนาโกกรังด์ปรีซ์ สนามเก่าแก่คู่บารมีรถ F1 มาตั้งแต่เริ่มต้น

ประเด็นที่ผมขออนุญาตเสนอความเห็นวันนี้ยังคงเป็นประเด็นเดิมนั่นแหละครับว่าโดยส่วนตัวผมไม่มีอะไรขัดข้องหรือคัดค้านโครงการนี้ หากสามารถจะได้รับความไว้วางใจจาก F1 ให้เป็นผู้จัด

เพียงแต่จะติงเหมือนที่เคยติงมาตลอดว่าโครงการนี้แพงมากพอสมควร จะต้องใช้เงินลงทุนสูง แม้ไม่มีใครปฏิเสธว่าผลตอบแทนก็สูงด้วย…แต่จะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่…ขอให้พินิจพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นที่ตั้งก่อนตัดสินใจ

แม้ประเทศส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จ แต่ก็มีบางประเทศที่ล้มเหลว…โดยเฉพาะเพื่อนบ้านไทยเราคือ มาเลเซีย นี่เอง…ที่จัดแล้วขาดทุนจนต้องเลิกราไปดังที่ผมเคยเขียนเล่าไว้แล้ว

สิงคโปร์ อาจดำเนินการได้ผลอย่างดียิ่ง เป็น 1 ในโปรแกรมประจำปีที่มีแฟนๆ F1 ยกขบวนมาดูชม และทำรายได้ครั้งละกว่า 50,000 ล้านบาท

แต่ก็ไม่แน่ว่าที่อื่นๆ จะทำได้ หรือเราเองหากเป็นเจ้าภาพแล้วจะการันตีว่าทำได้ในระนาบเดียวกับสิงคโปร์

เป็นที่ทราบแล้วว่าต้นทุนจัด F1 นั้นแพงมากแบบชวนให้ขนหัวลุก ดังที่มีรายงานเปิดเผยโดยทั่วไปว่า ค่าลิขสิทธิ์หากจัดเพียงครั้งเดียวจะสูงถึง 31.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 1,026.9 ล้านบาท คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนในวันนี้

ในขณะที่หากเซ็นสัญญาระยะยาวต่อไปอีก ลิขสิทธิ์ในปีต่อไปก็จะเพิ่มสูงในอัตราก้าวหน้า โดยมีการประมาณการว่าหากจัดแข่ง 10 ปี จะต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ถึง 396.2 ล้านเหรียญ หรือ 12,916 ล้านบาท ร่วมๆ 13,000 ล้านบาทเลยทีเดียว

นี่ยังไม่รวมค่าก่อสร้างสนามแข่งขันตามมาตรฐานของ F1 ใช้แข่งความเร็วรถ 4 ล้อได้ทุกประเภท ในราคาก่อสร้างประมาณ 270 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (8,802 ล้านบาท) อีกนะครับ

และก็ยังไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายในการจัดการแข่งขันแต่ละครั้งประมาณ 15 ล้านเหรียญ หรือ 489 ล้านบาท เอาไว้ด้วย

มีการสรุปว่าใครก็ตามที่ขอเป็นเจ้าภาพ และสมมติว่าทำสัญญา 10 ปี โดยสร้างสนามถาวรดังกล่าว อาจต้องใช้เงินทุนรวมกันถึง 851.2 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 27,783 ล้านบาท หรือปัดเศษเป็น 28,000 ล้านบาท…ไม่ใช่ก้อนเล็กๆ เลยละครับ

ประกอบกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของโลกจะเปลี่ยนอย่างรุนแรง หลังการจัดระเบียบโลกใหม่อย่างบ้าเลือดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกหดตัวลง คนยากจนลง คนออกเที่ยวน้อยลง ฯลฯ

จะทำให้โจทย์ยากขึ้นไปอีก ต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบขึ้นไปอีกว่า จะลงทุนอย่างไร รัฐมีส่วนแค่ไหน? ต้องคำนวณผลได้ผลเสียอย่างละเอียดยิบ

ถ้าผลออกมา “คุ้ม” ก็เดินหน้าไปเถิด เพราะนี่คือโครงการกีฬาที่เป็นกีฬาอย่างแท้จริง แม้จะลงทุนสูงไปหน่อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะไม่ใช่เรื่องบาปหรือผิดศีลผิดธรรมอย่างโครงการ “บันเทิง” ครบวงจรแฝงยาพิษการพนันที่คนไทยส่วนใหญ่ (รวมทั้งผมด้วย) กำลังค้านหัวชนฝาขณะนี้.

“ซูม”