10 อภิเศรษฐีไทย 2568 “ข่าวดี” ใน “ข่าวร้าย”?

ในท่ามกลางสารพันข่าวร้ายที่เกิดขึ้นแก่ประเทศไทยตลอดสัปดาห์เศษๆที่ผ่านมา โดยเฉพาะข่าวร้ายมาก กรณี “แผ่นดินไหว” ครั้งใหญ่ ทำให้เราต้องสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างน่าเศร้าสลดใจอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน

และล่าสุดก็คือข่าว “สึนามิเขย่าโลก” ฝีมือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังหวั่นไหวสั่นคลอนอยู่ในขณะนี้

พลันก็มีข่าว “ประจำปี” ประกาศผลการจัดอันดับอภิมหาเศรษฐีโลก และเศรษฐีไทยโดยนิตยสาร Forbes ออกมาขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์หลายฉบับ เมื่อ 2 วันก่อน เน้นไปที่รายชื่ออภิมหาเศรษฐี 10 อันดับแรกของประเทศไทยเช่นเคย

ข่าวนี้จะเป็น “ข่าวดี” ที่เกิดขึ้นในท่ามกลาง “ข่าวร้าย” ดังที่ผมพาดหัวคอลัมน์หรือไม่? เดี๋ยวค่อยเฉลยนะครับ

นิตยสาร Forbes รายงานว่า ปีนี้มีมหาเศรษฐีที่มีเงินมากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมทั้งหมด 3,028 ราย ทั่วโลก และเป็นเศรษฐีไทย 25 ราย ลดลงจากปีที่แล้ว 1 รายดังนี้

1.นายธนินท์ เจียรวนนท์ อายุ 85 ปี อันดับ 1 ประเทศไทย อันดับ 141 โลก ทรัพย์สินคิดเป็นเงินไทย 524,855 ล้านบาท

2.นายสารัชถ์ รัตนาวะดี อายุ 59 ปี อันดับ 184 โลก มีทรัพย์สินคิดเป็นเงินไทย 445,436 ล้านบาท

3.นายเจริญ สิริวัฒนภักดี อายุ 80 ปี อันดับ 210 โลก ทรัพย์สิน 404,000 ล้านบาท

4.นายสุเมธ เจียรวนนท์ อายุ 90 ปี อันดับ 540 โลก ทรัพย์สิน 220,991 ล้านบาท

5.นายจรัญ เจียรวนนท์ อายุ 95 ปี อันดับ 551 โลก ทรัพย์สิน 217,538 ล้านบาท

6.นายวานิช ไชยวรรณ อายุ 93 ปี อันดับ 789 โลก ทรัพย์สิน 158,837 ล้านบาท

7.นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ อายุ 92 ปี อันดับ 902 ของโลก ทรัพย์สิน 138,119 ล้านบาท

8.นางสมอุไร จารุพนิช อายุ 71 ปี อันดับ 1,045 ของโลก ทรัพย์สิน 120,854 ล้านบาท

9.นายเสถียร เสถียรธรรมะ อายุ 70 ปี อันดับ 1,408 โลก ทรัพย์สิน 89,777 ล้านบาท (ขึ้นติดท็อปเทนครั้งแรกในเมืองไทย)

10.นายประยุทธ มหากิจศิริ อายุ 79 ปี อันดับโลก 1,462 ทรัพย์สิน 86,324 ล้านบาท

ผมขออนุญาตลงชื่อเพียง 10 ท่าน และขอแสดงความยินดีแก่ทั้ง 10 ท่านอีกครั้งหนึ่ง เพราะส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นคนเดิมนั่นเอง

ก็มาถึงคำถามที่ผมจั่วหัวเรื่องข้างบนไว้ว่า ข่าวนี้เป็น “ข่าวดี” หรือไม่? ในช่วงที่บ้านเราเต็มไปด้วยข่าวร้ายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

คำตอบของผมก็คือจะเป็น “ข่าวดี” อย่างมากหากท่านอภิมหาเศรษฐีทั้งหลายที่มีชื่ออยู่ในบัญชีของ Forbes จะนำความร่ำรวยมาลงทุนหรือมาใช้จ่ายช่วยเหลือสังคมต่อไป

ลงทุนโน่นนี่ไปเรื่อยๆก็จะช่วยสร้างงานให้แก่ประเทศชาติ ช่วยคนไทยให้มีงานทำและมีรายได้ ซึ่งจะเพิ่มพูน GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของชาติในที่สุด

ให้ความช่วยเหลือทางด้านสังคมสงเคราะห์ไปเรื่อยๆและมากขึ้นเป็นลำดับเพื่อช่วยคนไทยที่ยังยากจน รายได้น้อยไม่พอจ่าย ถือเป็นการช่วยลด “ช่องว่าง” ทางสังคมไปได้ส่วนหนึ่ง

ผมเขียนหลายครั้งแล้วว่าโลกเราไม่มีทางเลือก สำหรับระบอบการปกครองเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมากนัก…และพิสูจน์แล้วว่าระบอบเศรษฐกิจเสรีนั้นดีที่สุด เพราะเคยลองไประบบอื่นโดยเฉพาะคอมมิวนิสต์มาแล้วปรากฏว่าไปไม่รอด

แต่ระบอบเสรีนิยมก็มีข้อเสียในเรื่องมือใครยาวสาวได้สาวเอา…คนเก่งชนะคนไม่เก่ง…พัฒนาอย่างไรก็จะมีแต่เพิ่ม “ช่องว่าง” มากขึ้น

จึงต้องอาศัยความเข้มแข็งของภาครัฐในการเก็บภาษีอากรอย่างเข้มงวดแล้วนำภาษีอากรมาใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาต่างๆอย่างชอบธรรม

ขณเดียวกันก็ต้องอาศัยความเสียสละของ “คนรวย” ที่จะต้องรู้จัก “ให้” และ “แบ่งปัน” เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสกว่า…ให้มากที่สุด

ดังนั้นคำตอบของคำถามสำหรับข่าวนี้ก็คือ จะเป็น “ข่าวดี” หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเศรษฐีนั่นแหละ…ถ้าขี้เหนียวเอาแต่รวยท่าเดียวไม่แบ่งคนอื่นไม่ช่วยคนอื่นก็จะเป็น “ข่าวร้าย” เพราะจะทำให้สังคมแตกแยกมากขึ้น…

แต่ถ้ารวยแล้วรู้จัก “แบ่งปัน” ก็จะเป็น “ข่าวดี” ขอฝากให้ท่านอภิมหาเศรษฐีทุกท่านไม่ว่าจะมีชื่ออยู่ในบัญชี Forbes หรือไม่โปรดเก็บไปคิดเป็นการบ้านอีกครั้งก็แล้วกันนะครับ.

“ซูม”

มหาเศรษฐีไทยจาก Forbes ปี 2025 และการแบ่งปันทรัพย์สินเพื่อสังคม