เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีฟ้อง “3 เส้า” บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ฟ้องสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และบริษัทซีนิเพล็กซ์ ฟ้องสยามสปอร์ต สรุปข้อใหญ่ใจความได้ว่า
สมาคมฟุตบอล จะต้องจ่ายเงินให้ สยามสปอร์ต 360 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย และ สยามสปอร์ตฯ จะต้องจ่ายเงินให้ บริษัทซีนิเพล็กซ์ 240 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยเช่นกัน
ถือเป็นอันสิ้นสุดคดีที่โด่งดังมากคดีหนึ่งของวงการกีฬาไทยหลังจากฟ้องร้องสู้กันมาตั้งแต่ พ.ศ.2559 ประมาณ 9 ปีเห็นจะได้
เรื่องของเรื่องเริ่มมาจากการที่สมาคมฟุตบอลประกาศยกเลิกสัญญาในการบริหารสิทธิประโยชน์ “ฟุตบอลไทยลีก” ของ บริษัทสยามสปอร์ตซินดิเคทฯ อย่างกะทันหัน ทั้ง ๆ ที่สัญญายังไม่หมดและสยามสปอร์ตก็มิได้ทำอะไรผิดเงื่อนไข
ผลกระทบต่อสยามสปอร์ตที่สำคัญก็คือทางสยามสปอร์ตได้ไปทำสัญญากับบริษัทซีนิเพล็กซ์ในเครือทรูวิชั่นส์ให้มาถ่ายทอดสดและได้รับเงินค่าลิขสิทธิ์มาแล้วจำนวนหนึ่ง
ซึ่งเมื่อได้เงินมาก็ไปแบ่งจ่ายเป็นค่าเตรียมทีมให้แก่ทีมต่าง ๆ ในไทยลีกครบทุกทีมตามที่ได้ปฏิบัติมาก่อนหน้านั้น
ดังนั้นเมื่อไม่ได้ต่อสัญญา จึงไม่ได้จัดการแข่งขันและไม่มีเงินค่าผ่านประตูหรือค่าสปอนเซอร์ใด ๆ ที่จะมาชำระแก่บริษัทซีนิเพล็กซ์ได้
ทางซีนิเพล็กซ์จึงต้องฟ้องร้องสยามสปอร์ตซินดิเคท กลายเป็นศึก 3 เส้าไปด้วยประการฉะนี้
ใครฟ้องใครก่อน ผมจำเรื่องราวรายละเอียดมิได้เสียแล้ว จำได้แต่ว่าศาลสั่งให้พิจารณา 2 คดีนี้ไปพร้อมกัน และในที่สุดศาลฎีกาก็ได้ตัดสินดังที่ผมสรุปไว้ข้างต้น
จะถือเสียว่าคำตัดสินของศาลฎีกาในครั้งนี้เป็นของขวัญวันเกิดย่างเข้าอายุ 83 ปี ของ คุณระวิ โหลทอง ประธานสยามสปอร์ต ก็คงจะได้ เพราะวันเกิดเพื่อนคือวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา และศาลท่านพิพากษาตัดสินเมื่อ 6 มีนาคม 2 วันก่อนวันเกิดว่าอย่างนั้นเถอะ
ผมก็ได้แต่หวังว่าวันเกิดอายุ 83 ของเพื่อน จะเป็นอีกวันหนึ่งที่เพื่อนมีความสุขอย่างแท้จริง หลังจากที่ต้องทุกข์ใจ เพราะข่าวร้ายในวันเกิดเมื่อ 9 ปีก่อน
ผมจำได้ว่าเสี่ยระวิยื่นมือเข้าไปช่วยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยตั้งแต่ยุคสมัย คุณวิจิตร เกตุแก้ว เป็นนายก โดยเฉพาะการจัดการแข่งขันไทยลีก ซึ่งต้องประสบปัญหาการขาดทุนตลอดมา
ก่อนที่จะเข้าไปช่วยเต็มตัวถึงขั้นเซ็นสัญญากับสมาคมฟุตบอลในยุคของ คุณวรวีร์ มะกูดี
ในยุคแรก ๆ ยังจัดอยู่ที่สนามเดียวคือสนามกีฬา เทพหัสดิน ข้าง ๆ สนามศุภชลาศัย คนดูโหรงเหรงต้องหาการแสดงต่าง ๆ เช่น ตลกคาเฟ่บ้าง นักร้องดัง ๆ บ้าง มาเรียกคนดูก่อนแข่งขัน
ไปจนถึงต้องหารถมอเตอร์ไซค์บ้าง ตู้เย็นบ้าง และของรางวัลต่าง ๆ มาให้จับสลากหลังการแข่งขัน
ก่อนจะเกิดความคิดริเริ่มให้แต่ละทีมมีสนามตัวเอง มีเตะเหย้าเยือนแบบต่างประเทศ สร้างทีมท้องถิ่น สร้างทีมพื้นที่ขึ้นแบบมีแฟนคลับและกองเชียร์อย่างถาวรจนประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง ทำให้ค่าการตลาดของไทยลีกเพิ่มขึ้นมหาศาล
ล้วนมาจากวิสัยทัศน์ของคุณระวิ โหลทอง ทั้งสิ้น
น่าเสียดายที่สมาคมฟุตบอลในยุคต่อมาบอกเลิกสัญญากับสยามสปอร์ตและไปบริหารจนประสบความล้มเหลว ทำให้ฟุตบอลไทยถอยหลังเข้าคลองอย่างทุกวันนี้แถมต้องเสียเงินก้อนโต
สงสารก็แต่ “มาดามแป้ง” นายกฟุตบอลปัจจุบันแหละครับ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ต้องออกมาโพสต์เฟซบุ๊กว่า “ทุกปัญหา (คง) มีทางออก “It’s not the end of world” (ขอยกคำสอนของคุณพ่อโพธิพงษ์ไว้เตือนใจ)”
ด้วยรักและเข้าใจและเห็นใจ…โชคดีนะครับน้องมาดาม!
“ซูม”