ข้อเขียนซอกแซกของผมสัปดาห์ที่แล้วว่าด้วยการไปสัมภาษณ์คุณชนินทธ์ โทณวณิก ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท ดุสิตธานี จำกัด เกี่ยวกับโรงแรมดุสิตธานียุคใหม่ เริ่มด้วยที่มาที่ไปและแรงบันดาลใจของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มูลค่า 46,000 ล้านบาท
ซึ่งเมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว จะมีทั้ง โรงแรมดุสิตธานี หลังใหม่ + อาคารที่พักอาศัยขนาดใหญ่ + ห้างสรรพสินค้าใน เครือเซ็นทรัล ซึ่งด้านบนจะเป็นออฟฟิศหรือสำนักงานเปิดให้เช่า…ที่ถ้อยคำสมัยใหม่เรียกว่า “มิกซ์ยูส” นั่นเอง
ณ บัดนี้ที่เสร็จเกือบเรียบร้อยและเปิดให้บริการแล้วก็คือโรงแรมดุสิตธานี ที่ผมฉายหนังตัวอย่างว่าห้องพักของโรงแรมนี้จาก 517 ห้องจะเหลือเพียง 257 ห้อง ซึ่งจะเป็นห้องที่ใหญ่ขึ้นกว่าเก่าและจะมองเห็นวิว สวนลุมพินี ครบทุกห้อง
จะเป็นโรงแรมที่ไม่มีหน้าต่างแต่ใช้กระจกขนาดกว้าง 5 เมตร สูง 2 เมตร มาเป็นผนังห้องด้านที่มองเห็นสวนลุมแทน
กลายเป็น “กรอบรูปยักษ์” แผ่นใหญ่ที่มีสวนลุมพินีและอาคารสูงรอบๆสวนเป็นตัวรูปที่สามารถจะเปลี่ยนสีสันไปได้ตลอดวัน
นับเป็นความแปลกใหม่ของ โรงแรมดุสิตธานี ยุคใหม่ที่เริ่มต้นเปิดให้บริการอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2567 เป็นต้นมา
หลังจากกลับไปเปิดมือถือบันทึกเสียงและอ่านข้อความสำคัญที่ผมจดไว้ในสมุดบันทึกก็พบว่าดุสิตธานียุคใหม่ไม่เพียงแต่จะมีของใหม่ๆที่ทันสมัยเพื่อมาให้บริการแก่นักท่องเที่ยวทั่วโลกเท่านั้น
ยังคงเก็บ “อัตลักษณ์ดั้งเดิม” เท่าที่
เคยเป็นที่ชื่นชมและอยู่ในความทรงจำของนักท่องเที่ยวและคนไทยเอาไว้อย่างครบถ้วน
คุณชนินทธ์ใช้คำว่า “อัตลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ” ของชาวดุสิตธานี ที่เกิดจากความคิดริเริ่มและวิสัยทัศน์ของ ท่านผู้หญิง ชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ให้กำเนิดโรงแรมแห่งนี้เมื่อ 55 ปีที่แล้ว รวมทั้งสิ้น 9 อัตลักษณ์ด้วยกัน
เริ่มจากจุดเด่นที่สุดที่ใครเห็นก็ทราบทันทีว่านี่คือ โรงแรมดุสิตธานี…ได้แก่ ยอดเสาสีทอง ปลายแหลมที่อยู่ ณ ชั้นบนสุดของอาคารโรงแรม
เสานี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า The Golden Spire ออกแบบโดยสถาปนิกญี่ปุ่น ที่มาร่วมสร้างดุสิตธานีในยุคโน้น โดยได้แรงบันดาลใจมาจากยอดพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม
พระปรางค์ที่ผู้คนรู้จักทั้งโลกจนอาจกล่าวได้ว่าเป็น “ตราสัญลักษณ์” ของประเทศ ไทยมาก่อนยุคท่องเที่ยวจะ บูมด้วยซ้ำไป
แน่นอนยอดเสาเดิมซึ่งอยู่บนยอดตึกเดิม 23 ชั้น ย่อมจะดูเล็กเกินไป หากต้องขึ้นไปอยู่บนยอดตึกใหม่ที่สูงถึง 39 ชั้น
จึงมีการก่อสร้าง “เสาสูง” ขึ้นใหม่ที่ใหญ่กว่าและสูงกว่าเสาเดิม แต่เป็นเสาสีทองเช่นเดิมมาครอบเสาเดิมเอาไว้
สิ่งที่สร้างเพิ่มเติมก็คือการใช้พื้นที่ว่างภายใต้เสาแห่งนี้ เป็นสถานที่นั่งกินลมชมวิว สามารถมองเห็นกรุงเทพมหานครโดยรอบ 360 องศา และมีบาร์เครื่องดื่มไว้บริการ ระหว่างนั่งชิลอยู่บนหลังคาชั้นที่ 39 ของดุสิตธานีปัจจุบัน
ผมซึ่งรำพึงรำพันไว้ในข้อเขียนตอนที่แล้วว่า ยังไม่มีโอกาสขึ้นไปดูชมในการแวะมาสำรวจเองรอบแรก ก็ได้มีโอกาสขึ้นไปยืนรับลมชมวิวดูพระอาทิตย์ตกดิน ณ บริเวณฐาน “เสาทองคำ” หรือ The Golden Spire เป็นที่เรียบร้อยในการมารอบสอง
ได้เห็นพระอาทิตย์ตกอีกมุมหนึ่งของกรุงเทพมหานครที่สวยงามมาก (แต่ผมยังลำเอียงให้พระอาทิตย์ตกที่ ภูเขาทอง ที่ผมขึ้นไปดูกับเพื่อน ๆ ชาวไทยรัฐ เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนโน้นว่าสวยกว่าที่นี่นิดหน่อยครับ)
นี่คืออัตลักษณ์แรกสุดของดุสิตธานีที่ยังคงอยู่ และต้องขอขอบคุณที่ยังคงไว้ เพราะอย่างที่กล่าวไว้แล้ว…“จุดเด่น” ที่สุดที่นักท่องเที่ยวและคนไทยนึกถึงดุสิตธานีก็คือ “เสาสูงสีทอง” บนยอดโรงแรมนี่เอง
ในเอกสารประกอบการสนทนาที่ผมได้รับแจกเพิ่มเติมจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงแรม ทำให้ ทราบว่า นอกจาก “เสา สูง” ดังกล่าวนี้แล้ว ยังมีอีก “8 อัตลักษณ์” ของดุสิตธานีดั้งเดิม ที่ได้รับการส่งต่อมาถึงยุคปัจจุบัน
ขออนุญาตเอ่ย ถึงส่งท้ายไว้ดังต่อไป นี้…ได้แก่…2.กรอบอาคารมงคลสีทอง (Golden Facade), 3.Library 1918 ห้องรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, 4.ต้น ลีลาวดีต้นแรกที่ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ปลูกไว้,
5.น้ำตกสวรรค์ชั้นดุสิต (หรือน้ำตก 9 ชั้น ด้านข้างโรงแรมเดิม), 6.เพดานล็อบบี้สีทอง, 7.จิตรกรรมอัตลักษณ์ไทยแท้ ในรูปแบบจิตรกรรมฝาผนังดั้งเดิมของไทยที่จะมีเฉพาะในประเทศไทยเราเท่านั้น, 8.เสาเบญจรงค์ เสาหินต้นยักษ์ขนาดใหญ่ 2 ต้นที่มีน้ำหนักรวมกว่า 10 ตัน ที่เคยเป็นเสาค้ำโรงแรมดุสิตธานีเก่า และตั้งอย่างโดดเด่นในห้องอาหารเบญจรงค์…
9.Heritage Suites ทุกห้องพักของโรงแรมจะยังคงออกแบบและตกแต่งด้วยศิลปะแบบไทย ๆ ที่สวยงาม
ครับ! ทั้งหมดนี้คือ 9 อัตลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจที่ดุสิตธานี (ใหม่) ยังคงรักษาไว้ซึ่งผมคงจะไม่เขียนถึงทั้งหมด…แต่จะเลือกสัก 2-3 อัตลักษณ์มาคุยกันต่อในสัปดาห์ต่อไป
โดยเฉพาะ “น้ำตกสวรรค์ ชั้นดุสิต”กับ “เสาเบญจรงค์” ต้องเขียนถึงแน่นอนเพราะเป็น “อัตลักษณ์” ในดวงใจของคนไทยเรา ด้วย…ดีใจครับที่ดุสิตธานียังคงรักษาไว้.
“ซูม”