ตำนาน “รถสูตร 1” อาเซียน มาเลย์ “เคยจัด” แล้ว “เจ๊ง”

เมื่อวานนี้ผมเขียนถึงเรื่องราวของรถ 4 ล้อ กับรถ 2 ล้อ หรือรถแข่งสูตร 1 ที่เรียกว่าฟอร์มูลา วัน หรือ F1 กับรถมอเตอร์ไซค์ทางเรียบที่เรียกว่า “โมโตจีพี” ว่าจะเป็นอีก “รอยร้าว” หนึ่งในทางการเมืองหรือไม่?

เหตุเพราะข่าวลือว่ารัฐบาลจะไม่ต่อสัญญาการแข่งขันรถ “2 ล้อ” โมโตจีพีกระหึ่มไปทั้งโซเชียล จนถึงขนาดต้องติดแฮชแท็กว่า “#Save ThaiGP” และ นายเนวิน ชิดชอบ ผู้อยู่เบื้องหลังทั้งพรรคภูมิใจไทย และการแข่งขันโมโตจีพีที่จังหวัดบุรีรัมย์ ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ว่า

การแข่ง 2 ล้อที่ประชาชนเข้าถึงง่าย สัมผัสง่าย เป็นเจ้าของง่าย และพิสูจน์ได้ว่าทำรายได้ด้านการท่องเที่ยวได้ดีจริงในระดับหนึ่ง แต่รัฐบาลกลับจะไม่ต่อสัญญา

ในทางตรงข้ามกลับจะไปสนับสนุนการแข่งขันรถยนต์ 4 ล้อ หรือรถ F1 ซึ่งแพงกว่า และไม่แน่ใจว่าจะทำรายได้เข้าประเทศมากน้อยเพียงใด? แถมยังไม่รู้จะจัดที่ไหน? อย่างไร? ลงทุนเท่าใด?

เมื่อผมหยิบเรื่องนี้มาเขียนยังอดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเรื่องทางการเมือง หรือการกระทบกระทั่งอีกครั้งของพรรคร่วมรัฐบาล

ตรงกับที่นักข่าวไปถามท่านนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งท่านก็ตอบว่าไม่เกี่ยวกับการเมือง ขึ้นอยู่กับเหตุผลในเรื่องความคุ้มค่าต่าง ๆ และรัฐบาลอยู่ระหว่างพิจารณา

ได้ยินคำตอบเช่นนี้ คุณเนวินก็โพสต์ขอบคุณท่านนายกฯทันที พร้อมกับพิมพ์ถ้อยคำซึ้ง ๆ วลีหนึ่งว่า “เราอาจได้ยินเสียงเพลงชาติไทยที่สนามบุรีรัมย์ เซอร์กิต กันอีกครั้ง”

ณ นาทีนี้ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร? รัฐบาลจะต่อสัญญากับ “2 ล้อ” หรือไม่? หรือว่าจะมุ่งหน้าไปที่ “4 ล้อ” ซึ่งแพงมาก และไม่รู้จะคุ้มค่าหรือไม่ มาทดแทน

โดยส่วนตัวผมไม่ฝักใฝ่พรรคใดทั้งสิ้น แต่ก็เห็นว่าเราควรสนับสนุนโดยการแข่ง 2 ล้อโมโตจีพีต่อไป เพราะ 7-8 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าโครงการนี้ทำกำไรให้แก่ประเทศชาติในระดับหนึ่ง

เอาเถิดจังหวัดที่ได้ประโยชน์อาจจะเป็น จังหวัดบุรีรัมย์ ก็อย่าไปคิดอะไรมาก ถือเสียว่าบุรีรัมย์เป็นจังหวัดยากจนจังหวัดหนึ่ง เมื่อสัก 20 กว่าปีที่แล้วจังหวัดนี้ติดอันดับท้าย ๆ เสียด้วยซํ้า

ต้องยอมรับว่าโครงการ F1 หรือรถสูตร 1 นั้นมีคลาสสูงกว่า โมโตจีพีหลายเท่า มียอดคนดูคนติดตามทั้งโลกกว่า 70 ล้านคน และยอดคนดูในสนาม 24 สนาม เมื่อปี 2023 ถึง 6 ล้านคน

ในขณะที่โมโตจีพียังวัดไม่ได้ชัดเจนว่ามีคนตามดูทั่วโลกมากน้อยเพียงใด แต่ก็ประเมินกันว่าขยายตัวราว ๆ 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อปี 2023 และมียอดคนดูในสนามแข่งขันรวมกัน 3 ล้านคน

เทียบความยิ่งใหญ่กันแล้ว F1 จึงเหนือกว่ามาก

แต่ผมก็จำได้ว่า มาเลเซีย เพื่อนบ้านเรานี่เอง เคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน F1 อยู่หลายปี ท่าน มหาธีร์ โมฮัมหมัด อุตส่าห์ไปวิ่งเต้นมา และลงทุนสร้างสนาม “เซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต” ขึ้นมารองรับระหว่างปี ค.ศ.1999-2017 ซึ่งในที่สุดก็ต้องปิดตัวลงไป

เผอิญผมเพิ่งเข้าไปดูใน วิกิพีเดีย ที่บันทึกเรื่องราวของ “มาเลเซียกรังด์ปรีซ์” เอาไว้ และได้ลงข้อความที่รัฐมนตรีกระทรวงเยาวชนและกีฬา คายรี จามาลุดดิน ท่านโพสลง X เป็นภาษาอังกฤษถึงสาเหตุที่มาเลเซียต้องเลิกจัดรายการนี้ ท่านใช้ภาษาง่ายๆ จึงขออนุญาตคัดลอกมาลงทั้งดุ้น ดังนี้

“I think we should stop hosting the F1. At least for a while. Cost too high, returns limited. When we first hosted the F1 it was a big deal. First in Asia outside Japan. Now so many venues. No first mover advantage. Not a novelty.”

แล้วเรายังจะไปลงทุนอีก คิดดูให้ดีนะครับ ท่านนายกฯ อิ๊งค์ ยอมเป็น “สุนัขมองเครื่องบิน” อย่างที่คุณเนวินเปรียบเทียบไว้ดีกว่า… ดูแล้วก็ฝันไป ไม่ได้อะไร แต่ก็ไม่เสียอะไร.

“ซูม”