มาอีกรายแล้วครับ รายใหญ่เบอร์ใหญ่เสียด้วย เพราะเป็นถึงนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกที่ออกมาแถลงว่าโครงการแจกเงิน 10,000 บาทของรัฐบาลส่งผลให้อัตราความยากจน (ของประเทศไทย) ลดลงตามที่มีรายงานข่าวในสำนักข่าวออนไลน์หลายฉบับเมื่อ 2 วันก่อน
ผมไม่ปฏิเสธว่าการ “แจกเงิน” ช่วยเพิ่มจีดีพีได้ เพราะโดยทฤษฎีมันต้องเพิ่มได้ และก็คงไม่ปฏิเสธเช่นกันว่าหากจีดีพีที่เพิ่มนั้นจะไปทำให้อัตราความยากจนของประเทศลดลงบ้าง
แต่ที่ผมไม่เห็นด้วยและต้องออกมาค้านหัวชนฝาอยู่เสมอก็คือ อย่ามาบอกว่าการแจกเงินเป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะมันเพิ่มรายได้ประชาชาติและลดความยากจนได้ด้วย อันจะเป็นเหตุให้ฝ่ายการเมืองที่นิยมใช้มาตรการนี้ หยิบยกมาเป็น “ข้ออ้าง” ที่จะใช้ต่อไป
ผมอ่านข่าวนักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก 2 ท่านประจำประเทศไทยแถลงเรื่องภาวะเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ปีหน้า และอ้างผลจากโครงการแจกเงินดังกล่าวไว้ด้วยอย่างละเอียดหลาย ๆ ครั้ง
พบว่านักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลกทั้งคุณ เกียรติพงศ์ อริยปรัชญา ซึ่งรับผิดชอบประเทศไทยโดยตรง และคุณ เมลินดา กูด ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยและเมียนมา ท่านใช้ความระมัดระวังเมื่อพูดถึงการแจกเงิน และจะมีเหตุผลหรือข้อมูลเพิ่มเติมมาให้พิจารณาควบคู่ไปด้วย
เช่นในกรณีของคุณเมลินดา ช่วงที่รายงานว่าโครงการโอนเงินผ่านกระเป๋าดิจิทัล (แจกเงิน 10,000 บาท) มีส่วนช่วยให้ GDP เติบโตขึ้นร้อยละ 0.3 ในปี 2567 นั้น ท่านจะบอกไว้ด้วยว่ามาตรการนี้มีต้นทุนทางการคลังสูงถึง 145,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.8 ของ GDP เพื่อให้วิญญูชนได้นำไปวิเคราะห์เพิ่มเติมว่าผลที่ได้คุ้มค่าหรือไม่? อย่างไร?
ขณะเดียวกัน ในช่วงที่ท่านรายงานว่าอัตราความยากจนอาจจะลดลงเหลือ 8.29 เปอร์เซ็นต์ในปี 2567 จาก 8.5 เปอร์เซ็นต์ในปี 2566 นั้น ท่านก็กล่าวควบคู่กันไปว่าเป็นผลมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และโครงการโอนเงินมิใช่กล่าวเฉพาะโครงการโอนเงินอย่างเดียว
รวมทั้งเมื่อกล่าวถึงความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจวัดจากดัชนีจีนี ท่านก็กล่าวเรียบ ๆ ว่า จะลดลงประมาณ 1.5 จุดแล้วจบแค่นั้น
มิได้เปรียบเทียบว่าการลดลงที่ว่านี้จะย่นระยะเวลาได้ถึง 3 ปีแบบการกล่าวอ้างของหน่วยงานราชการไทยหน่วยหนึ่งที่ผมเคยทักท้วงไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้
ข้อสังเกตในช่วงสุดท้ายของรายงานที่คุณเมลินดาฝากถึงประเทศไทยก็เป็นแนวความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล และถูกต้องอย่างยิ่งสำหรับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ทุกประเทศในโลกนี้พึงยึดเป็นหลักปฏิบัติ…ได้แก่
“ประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างโดดเด่นในช่วง 5 ทศวรรษที่ผ่านมา…การปลดล็อกศักยภาพการเติบโตในอนาคต จำเป็นต้องอาศัยการดำเนินการที่กล้าตัดสินใจ…การลงทุนในระบบนิเวศนวัตกรรม การพัฒนาทักษะสำหรับอนาคต และการสร้างสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เอื้ออำนวย…จะช่วยให้คนไทยสามารถปรับตัวรับมือกับความท้าทายระดับโลกและเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต”
ถ้าจะให้เจริญเติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืนก็ต้องทำอย่างที่คุณเมลินดาว่า ไม่ใช่การหมกมุ่นอยู่กับมาตรการแจกเงิน ซึ่งเป็นมาตรการที่ใช้ได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น หรือนโยบายฉาบฉวยประเภทเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งยังไม่มีการศึกษาอย่างชัดเจนว่าผลได้ผลเสียระหว่างเศรษฐกิจกับสังคมไทยจะเป็นอย่างไร
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับรายงาน ที่ผมมองว่ามีเหตุผลในทางเศรษฐศาสตร์ครบถ้วนของธนาคารโลกฉบับนี้ และขอบคุณที่สุดที่ใส่ตัวเลขว่าแม้นโยบายแจกเงินดิจิทัลจะเพิ่ม GDPได้ร้อยละ 0.3 และอาจทำให้ตัวชี้วัดความยากจนลดบ้าง แต่ก็มีต้นทุนทางการคลังสูงถึง 145,000 ล้านบาท…หรือร้อยละ 0.8 ของ GDP
คุ้มหรือไม่คุ้มอย่างไร––แค่ตัวเลขก็ฟ้องชัดเจนแล้วครับ.
“ซูม”