หนังสือพิมพ์หลายฉบับเท่าที่ผมอ่านเจอเมื่อวานนี้ ได้นำคำชี้แจงของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง คุณเผ่าภูมิ โรจนสกุล เกี่ยวกับผลกระทบของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 หรือเงินหมื่นเฟส 1
จากการประมวลของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และสำนักงานสถิติแห่งชาติมาลงเป็นข่าว แม้จะไม่ใหญ่นัก แต่ก็พาดหัวไว้สะดุดตาทุกฉบับ
ของ ไทยรัฐ ลงไว้ในหน้า 15 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหน้าเศรษฐกิจในฉบับล่วงหน้าของวันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พาดหัวว่า “คุยลั่นทุ่งแจกเงินหมื่นรอบแรกช่วยลดความเหลื่อมล้ำคนไทย”
ตามมาด้วยรายละเอียดดังนี้
ประชาชนที่ได้รับเงินส่วนมากอยู่ในภาคเหนือ ภาคอีสาน และกลุ่มจังหวัดชายแดนใต้ ทำให้ภูมิภาคเหล่านี้มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมากที่สุด และการใช้เงินส่วนใหญ่ลงสู่ร้านเล็ก ร้านในชุมชน หาบเร่แผงลอยทั่วไปประมาณ 68% และไปใช้จ่ายในร้านสะดวกซื้อ 30% อีก 2% ใช้จ่ายในร้านอื่นๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า
ขณะเดียวกัน จากการศึกษาดัชนีความเหลื่อมล้ำพบว่า ช่วยลดระดับได้ 0.01 จุด ทั้งดัชนีด้านรายได้ ดัชนีด้านรายจ่าย และลดระดับความเหลื่อมล้ำได้ หากเปรียบกับกรณีที่ไม่มีโครงการนี้ การที่ดัชนีลดลงได้ 0.01 จุด ต้องใช้เวลา 3 ปี ดังนั้นการแจกเงิน 10,000 บาท ช่วยร่นเวลาลดความเหลื่อมล้ำประเทศเร็วขึ้น 3 ปี
บทสรุปช่วงท้ายของท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ว่าจะร่นเวลาลดความเหลื่อมล้ำของประเทศเร็วขึ้น 3 ปีนี่แหละครับที่ผมเห็นว่าเป็นบทสรุปที่อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดในสาระสำคัญของการพัฒนาประเทศที่ดำเนินการกันอยู่ในขณะนี้ได้
ผมหมายถึงการพัฒนาประเทศที่เป็นการพัฒนาโดยแท้จริง มีความยั่งยืน มีความถาวรมิใช่เป็นการพัฒนาแบบฉาบฉวย แค่ปั่นตัวเลขให้ดูสวยงามวูบๆ วาบๆ ในระยะสั้นๆ และก็ดับสนิทไปเท่านั้น
หากยึดการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นหลักละก็ จะเห็นได้ว่าการสรุปในแบบที่ท่านรัฐมนตรีสรุปจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ เพราะจะทำผู้คนเข้าใจว่า โครงการแจกเงินของท่านเป็นโครงการที่สามารถลดความเหลื่อมล้ำของประเทศได้ดีกว่าโครงการหรือวิธีการอื่นๆ
ถ้าอย่างนั้นเรามาแจกเงินต่อไปเถิด เพราะถ้าแจกมากกว่านี้ หรือถี่ๆ กว่านี้ เราอาจจะลดช่องว่างได้เร็วกว่า 3 ปีเสียด้วยซ้ำ กลายเป็นความชอบธรรมของรัฐบาล “ประชานิยม” ที่จะใช้นโยบาย “ประชานิยม” เช่นนี้สืบต่อไป
ที่สำคัญแม้ตัวเลขหรือการวิเคราะห์ตัวเลขในแผ่นกระดาษอาจจะเป็นไปได้อย่างที่ท่านสรุปไว้
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ยังมีตัวแปรนอกแผ่นกระดาษ นอกโมเดลอีกมากมายมหาศาล ซึ่งจะทำให้ตัวเลขจากแผ่นกระดาษ “เกิดขึ้น” หรือ “ไม่เกิดขึ้น” เป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง
ต้องใช้เวลาใช้ความละเอียดรอบคอบในการประเมินผลต่างๆ มากกว่านี้
ผมไม่เป็นห่วงท่านรัฐมนตรีเพราะตระหนักดีว่าท่านเป็นนักการเมือง ท่านก็ย่อมจะตีความเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน การอ้างของท่านแม้จะมีคนเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ในที่สุดเมื่อถึงเวลาท่านก็จะพ้นตำแหน่งไปไม่ได้นั่งในตำแหน่งนี้ถาวร
เป็นห่วงก็แต่หน่วยงานประจำที่มาทำหน้าที่เก็บข้อมูล หรือในการสรุปผลกระทบครั้งนี้ชงให้ท่านรัฐมนตรีเท่านั้น
สำหรับสำนักงานสถิติแห่งชาติ ผมไม่เป็นห่วงมากเพราะท่านเป็นนักสำรวจอาชีพอยู่แล้ว ผิดบ้างถูกบ้างมาหลายเรื่องหลายประเด็น–หากคราวนี้จะผิดผู้คนก็คงไม่ถือสาหาความอะไร
ห่วงที่สุดก็คือสำนักงานเศรษฐกิจการคลังนั่นแหละ เพราะเป็นหน่วยงานด้านสมองของกระทรวงการคลัง ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีอากรจากประชาชนโดยตรง
วิเคราะห์ว่าโครงการแจกเงินลดช่องว่างได้เร็วตั้ง 3 ปี ระวังจะโดนกล่าวหาว่าเชียร์โครงการนี้เกินเหตุน่ะซีครับ
คนเขาจะโกรธเอาว่ารีดภาษีฉันไปให้นักการเมืองแจกง่ายๆ แล้วยังเชียร์ซะอีก จะเป็นผลให้ความศรัทธาที่มีต่อกระทรวงการคลังน้อยลง…ซึ่งอาจจะทำให้กระทรวงการคลังเก็บภาษีได้ยากขึ้นในอนาคตเอานาครับ…ขอฝากท่านปลัดกระทรวงการคลังเอาไว้ด้วย.
“ซูม”

