ผมไม่ค่อยเขียนถึงเรื่องการเมืองในสหรัฐอเมริกามากนัก ทั้งๆ ที่ควรจะเขียนถึงอย่างยิ่ง เพราะอาจมีผลกระทบสู่โลกอย่างมหาศาลในฐานะที่สหรัฐฯเป็นประเทศที่มีอิทธิพลสูงสุดของโลก และบำเพ็ญตนเป็นตำรวจโลกมาโดยตลอด
อาจจะเป็นเพราะผมรู้สึกผิดหวังกับผลเลือกตั้งที่ปรากฏว่า คุณโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นฝ่ายชนะ คุณกมลา แฮร์ริส ไปอย่างขาดลอย
ผมไม่ไว้วางใจคุณทรัมป์ และมีความรู้สึกมาโดยตลอดว่าท่านมีความผิดปกติทั้งในทางความคิดและในทางจริยธรรมอยู่พอสมควร จึงแอบดีใจเมื่อผลโพลก่อนเลือกตั้งระบุว่า คุณกมลา จะชนะ
ดังนั้นเมื่อของจริงออกมา หักปากกาคนทำโพลยับเยิน เพราะคุณทรัมป์เป็นฝ่ายชนะ ผมจึงรู้สึกผิดหวังอย่างที่ว่า
แต่โดยที่สหรัฐฯเป็นยักษ์ใหญ่ของโลก และก็บำเพ็ญตนเป็นผู้นำโลกมาโดยตลอด…จึงเท่ากับว่าใครที่จะขึ้นมาเป็น “ผู้นำ สหรัฐฯ” ก็จะเท่ากับเป็น “ผู้นำของโลก” ไปโดยปริยาย
คนที่มองว่าท่านมีความผิดปกติทางความคิดจึงรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปตามๆกันว่าจะต้องมีผลกระทบต่อโลกแน่ๆ
ในที่สุดสิ่งที่ชาวโลกหลายๆ ส่วนคาดไว้ก็เกิดขึ้นจริงๆ เพราะเพียงวันแรกที่คุณทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยสมบูรณ์ หลังสาบานตนเรียบร้อย ก็เซ็นคำสั่งผู้บริหารทันทีนับร้อยฉบับ
มีอยู่ 3 ฉบับที่ผมรู้สึกผิดหวังและมองว่าท่านน่าจะผิดปกติในทางความคิด เพราะคิดไม่เหมือนชาวโลกเขาจริงๆ
เรื่องแรกคือเรื่องการดูแลโลกร้อนดูแลปัญหาทรัพยากรของโลกที่เป็นเรื่องใหญ่มาก ท่านก็เซ็นคำสั่งผู้บริหารยกเลิกข้อปฏิบัติต่างๆ ที่เคยดำเนินการมาแล้ว รวมทั้งให้ ถอนตัว จาก ข้อตกลงกรุงปารีสว่าด้วยโลกร้อน ด้วยเช่นกัน
ท่านบอกว่าข้อตกลงกรุงปารีสไม่สะท้อนค่านิยมของสหรัฐฯ เมื่อรับตำแหน่งสมัยที่แล้วท่านก็ถอนตัวออกมาแล้ว แต่ประธานาธิบดีไบเดนสั่งให้สหรัฐฯ กลับเข้าไปใหม่
เรื่องสอง คือการเริ่มต้นขบวนการถอนตัวจากองค์การอนามัยโลกหรือ WHO ซึ่งทรัมป์มองว่าปราศจากการดำเนินงานที่เป็นอิสระ ได้รับอิทธิพลครอบงำจากบางประเทศแล้วยังขูดเลือดขูดเนื้อเงินทองจากสหรัฐฯ…ต่อไปนี้ไม่ควรต้องเสียเงินก้อนนี้อีก
ทั้ง 2 เรื่องนี้ ผมก็มองว่าความคิดของท่านไม่สอดคล้องกับความคิดของโลก โดยเฉพาะข้อที่ 1 ข้อตกลงกรุงปารีสเพื่อลดโลกร้อน ที่ประเทศส่วนใหญ่ของโลกกำลังเดินหน้าอย่างขะมักเขม้น
โลกกำลังร้อนไม่ใช่หรือ? ความเปลี่ยนแปลงและแปรปรวนของโลกค่อนข้างน่าห่วงใยไม่ใช่หรือ? ชาวโลกกำลังจะเดินทางไปสู่การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืนไม่ใช่หรือ?
สหรัฐฯ ซึ่งพยายามที่จะเป็นผู้นำโลกมาโดยตลอด กลับไม่เอาด้วยกับประเด็นนี้จะไม่ให้มองว่าเป็นเรื่องผิดปกติได้อย่างไร?
เรื่องที่ 3 ที่ผมเชื่อว่าชาวโลกจะต้องมองคุณทรัมป์ด้วยสายตาที่ตำหนิติฉินอย่างแน่นอนนั่นคือการลงนามให้อภัยโทษแก่ผู้สนับสนุนท่าน 1,500 คน ที่มาก่อการจลาจลในเมืองหลวงสหรัฐฯ ถึงขั้นทำลายตึกรัฐสภาเมื่อ 6 ม.ค.2564
ใครจะเชื่อว่าบุคคลที่ก่อความผิดอย่างฉกาจฉกรรจ์ดูจากภาพข่าวที่เผยแพร่ทั่วโลกจะได้รับการยกโทษง่ายๆ เช่นนี้ แสดงว่าคุณทรัมป์ท่านเป็นคนเล่นพวกอย่างหนัก และบกพร่องทางจริยธรรมขาดความเป็นธรรมเพียงเพราะผู้กระทำผิดเป็นคนสนับสนุนท่านเท่านั้นเอง
ยังมีการเซ็นคำสั่งผู้บริหารที่โหดๆ อีกหลายเรื่อง แต่ผมก็ยกประโยชน์ให้ท่านไป เพราะหลายเรื่องเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศท่านเอง โดยเฉพาะเรื่องการอพยพจากประเทศเพื่อนบ้านที่ทะลักเข้ามาอย่างท่วมท้นท่านก็ต้องป้องกันเต็มที่
แต่ในฐานะพลเมืองโลกคนหนึ่ง เมื่อผู้นำของประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำโลก มีแนวคิดแนวปฏิบัติต่อโลกหลายเรื่องในลักษณะเช่นนี้
ผมก็คงต้องถือโอกาสเขียนเชิงรำพึงรำพัน หรือบ่นๆ เอาไว้บ้าง
บ่นแล้วก็สบายใจ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ร้องเพลงของ ดอริส เดย์ Whatever Will Be, Will Be ปลอบใจล่วงหน้าเอาไว้แล้วครับ.
“ซูม”