ของฝาก “นายกฯใหม่” จากใจอดีต รมต. “4.0”

ในบรรดา “ข้อคิดเห็น” จากนักวิชาการ จากผู้มีประสบการณ์ ในการบริหารชาติบ้านเมืองในอดีต ที่ “โพสต์” ไว้ในโซเชียลมีเดีย ถึงนายกรัฐมนตรีคนใหม่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่มีคุณค่าน่ารับฟัง และควรแก่การนำไปปฏิบัติมากที่สุด

ในทัศนะของผม ขอยกให้กับ “โพสต์” ของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวง อว. ในยุคพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

ดร.สุวิทย์เจ้าตำรับโมเดล “ไทยแลนด์ 4.0” ที่เคยเป็นนโยบายสำคัญในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ และเป็น 1 ใน “4 กุมารทางการเมือง” นั่นแหละครับ

ท่านเริ่มข้อคิดเห็นของท่านด้วยถ้อยคำในเครื่องหมายคำพูดว่า “ไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับฝันเล็กๆ” ของการเป็นผู้นำประเทศในชั่วโมงนี้

(เพราะ) ประเทศต่างๆ ในโลกศตวรรษที่ 21 มิได้ถูกนิยามโดยแนวคิด หรือระบอบการปกครองอีกต่อไป แต่จะถูกนิยามโดย “ภาพลักษณ์” ที่ประชาคมโลกมีต่อประเทศนั้นๆ

เราจึงต้องตอบคำถามให้ได้ว่า เราคือใคร? อะไรที่ทำให้ประเทศมีอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ มีขีดความสามารถในการแข่งขัน

ประเทศไทยจึงต้องการผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า เตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับพลังโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยง, ภัยคุกคาม และวิกฤติในหลากหลายรูปแบบ

เมื่อเกริ่นมาถึงช่วงนี้แล้ว ท่าน ดร.สุวิทย์ก็พลิกย้อนอดีตกลับไปมองและวิเคราะห์ถึงอดีตนายกรัฐมนตรีคนสำคัญของประเทศไทย ว่ามีวิสัยทัศน์และขับเคลื่อนประเทศมาอย่างไรบ้าง

เริ่มจาก “ป๋าเปรม” กับยุค “โชติช่วงชัชวาล” ด้วยการจุดพลุ โครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด “น้าชาติ” กับวิสัยทัศน์ด้านการเปลี่ยน อินโดจีน จากสนามรบเป็นสนามการค้า

แม้แต่ “บิ๊กจิ๋ว” ก็มีวิสัยทัศน์ ที่จะนำพาประเทศไทยไปเป็น “เสือตัวที่ห้าของเอเชีย” แต่มาสะดุดเพราะการดำเนินนโยบายการเงินการคลังผิดพลาด จนเกิดภาวะ “ต้มยำกุ้ง” ในที่สุด

ในยุค “ทักษิณ” ก็เคยวาดฝัน “โมเดลประเทศไทยในโลกที่ 1” ไว้ 7 ประการ (เนื่องจากเนื้อที่ไม่พอลง จึงขอเรียนเชิญท่านผู้สนใจไปเข้ากูเกิลค้นหาบทความของ “ดร.สุวิทย์” อ่านเพิ่มเติมก็แล้วกัน)

ท่านสรุปในช่วงนี้ว่า “ผู้นำประเทศในแต่ละยุคที่ผ่านมา มีวิสัยทัศน์ที่ทำให้พวกเราเกิดความเชื่อมั่น มีความหวังและมีกำลังใจ เกิดความฮึกเหิม เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทย

“โจทย์ที่ท้าทายนายกรัฐมนตรีท่านใหม่ คือจะพลิกฟื้นและขับเคลื่อนประเทศไทยอย่างไร ในท่ามกลางพลวัต ทางภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์โลกที่เชี่ยวกราก และต้องเผชิญกับความเสี่ยงในหลากหลายมิติ ภัยคุกคามไม่ตามแบบ และวิกฤติเชิงซ้อนที่ถาโถมเข้ามาอย่างหนักหน่วงและไม่หยุดยั้ง”

“ประเทศไทยอ่อนแอถึงที่สุดแล้ว ในฐานะผู้นำประเทศท่านต้องใช้ความกล้าหาญทางการเมือง “ปลดล็อก” ประเทศไทย ใน “3 วาระวิกฤติ” (Critical Agenda) ให้จงได้…ได้แก่

1.ลดทอนความขัดแย้ง เปลี่ยนจากการเผชิญหน้าเป็นการหันหน้าเข้าหากัน ปลุกจิตสำนึกความเป็นชาติ โดยยึดผลประโยชน์ชาติเป็นสำคัญ

2.ทำกระบวนการยุติธรรมให้ยุติธรรม กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ยึดมั่นในนิติรัฐ นิติธรรม

และ 3.ไม่ประนีประนอมกับคอร์รัปชันที่มีอยู่ดาษดื่นทุกหย่อมหญ้า

หากทำ 3 วาระวิกฤตินี้สำเร็จ วาระการขับเคลื่อนประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การขจัดความยากจนและความเหลื่อมลํ้า การพัฒนาคน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ จะเป็นเรื่องที่ไม่ยาก แม้จะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง”

สุดท้าย ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ก็ทิ้งทวนด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลมากจากข้อความภาษาไทยในช่วงเริ่มต้นของข้อเขียนว่า “No Room for Small Dreams สำหรับการเป็นผู้นำประเทศในชั่วโมงนี้ครับ”

ซูมหมายเหตุ แม้จะเป็นบทความที่อ่านยากอยู่สักหน่อย เพราะอดีตรัฐมนตรี อว.ท่านใช้ศัพท์แสงทางวิชาการ ที่เราไม่ค่อยคุ้นเคยหลายๆ คำ แต่ข้อเสนอ 3 ข้อของท่านสามารถอ่านได้และเข้าใจได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย ฝากนายกฯ ท่านใหม่ไว้ด้วยก็แล้วกันครับ.

“ซูม”

ของฝาก “นายกฯใหม่” จากใจอดีต รมต. “4.0”, ข้อคิดเห็น, โพสต์, ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์, การเมือง, นายกรัฐมนตรี, วิสัยทัศน์, ขับเคลื่อนประเทศ, ข่าว, ข่าวการเมือง, ซูมซอกแซก