ธนาคาร “กำไร” อู้ฟู่ “มองบวก” VS “มองลบ”

ทุกๆครั้งที่ผมอ่านข่าวแล้วเจอพาดหัวว่า แบงก์หรือธนาคารพาณิชย์มีกำไรงดงามเท่านั้นเท่านี้ล้านบาท ก็จะบังเกิดความรู้สึกขึ้น 2 อย่างพร้อมๆกัน…คือ ทั้ง “โล่งใจ” และ “กังวลใจ”

โล่งใจก็เพราะการที่ธนาคารต่างๆ มีกำไรงดงามนั้น แสดงว่าธนาคารมีผลประกอบการที่ดี มีฐานะการเงินที่ดี มีความมั่นคง มีความแข็งแรง อันจะเป็นผลให้ระบบการเงินของประเทศทั้งระบบเข้มแข็งตามไปด้วย

ประชาชนที่เป็นเจ้าของเงินฝากก็สบายใจ เพราะไม่ต้องกลัวว่าเงินที่ฝากไปนั้นจะสูญหายเนื่องจากธนาคารที่เราฝากมีความมั่นคง ไม่ล้ม ไม่เจ๊งอย่างแน่นอน

มีคำกล่าวกันว่าระบบการเงินของแต่ละประเทศ จะอยู่ได้ก็เพราะความเชื่อถือความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อระบบการเงินของประเทศตน… การที่ธนาคารต่างๆมีผลกำไรที่ชัดเจนจะมีส่วนทำให้ประชาชนรู้สึกมั่นใจและเชื่อถือในระบบการเงินของเรา ณ นาทีนี้มากขึ้นไปด้วย เป็นเงาตามตัว

จำได้ว่ายุคหนึ่งสมัยหนึ่งคนไทยเคยหวั่นวิตกว่าธนาคารใหญ่แห่งหนึ่งอาจจะล้มเพราะไปลงทุนต่างประเทศขาดทุนจนเกิดข่าวลือต่างๆ

ทำให้ผู้ฝากเงินธนาคารดังกล่าวแห่กันไปถอนเงิน จนเป็นเหตุที่เกือบจะทำให้ธนาคารที่ว่านั้นล้มลงไปจริงๆ

ธนาคารต้องแก้ปัญหาคือการตั้งตู้โชว์ใบใหญ่ไว้ใน “ล็อบบี้” ของธนาคาร ใช้แบงก์ใบละ 500 บาท (ยุคนั้นน่าจะเป็นแบงก์มูลค่าสูงสุด) กองเรียงเป็นปึกเพื่อให้ประชาชนเห็นว่าธนาคารนี้ยังมีเงินเยอะ ย.ห.อย่าห่วง

ที่สุดของที่สุดผู้นำของประเทศต้องออกมาช่วยแก้สถานการณ์ โดยให้สัมภาษณ์ว่า “ทั้งหมดเป็นข่าวลือ…ธนาคารที่ว่านี้แข็งแกร่งมาก” และสื่อมวลชนโดยเฉพาะไทยรัฐนี่แหละเอามาพาดหัวใหญ่ยักษ์ 3 ชั้น ถือว่ามีส่วนช่วยแก้วิกฤติข่าวลือครั้งนั้นลงได้ไม่มากก็น้อย

เห็นไหมครับว่าในสถานการณ์ที่ประชาชนคิดว่าธนาคารพาณิชย์ “ขาดทุน” นั้น น่ากลัวเพียงใด

ดังนั้น ที่เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา มีรายงานข่าวว่าธนาคารพาณิชย์รวม 10 แห่งของไทยเรามีผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ มีผลกำไรรวมกัน 62,909 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.06 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และหากรวม 2 ไตรมาส หรือ 6 เดือนแรกของปีนี้ กำไรสุทธิรวมกัน 126,416 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.69 เปอร์เซ็นต์ของปีก่อน… ผมจึงบังเกิดความโล่งใจขึ้นมาเปลาะหนึ่งอย่างที่ว่า

เพราะมันหมายความว่า ถึงแม้เศรษฐกิจส่วนรวมจะแย่ หลายๆ ธุรกิจหลายๆ ธุรกรรมแย่มาก…แต่อย่างน้อยธุรกิจธนาคาร ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจยังโอเค

แต่ขณะเดียวกัน ผมก็รู้สึก “กังวลใจ” ขึ้นด้วยเสมอๆ เวลาอ่านพบข่าวธนาคารแถลงผลประกอบการด้วยตัวเลขกำไรที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว

เพราะในท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจ จนเป็นเหตุให้ธุรกิจอื่นๆซบเซา ถดถอย ขาดทุน ย่อยยับไปตามๆกันนั้นผู้บริหาร “ธนาคาร” จะต้องตกเป็น “เป้า” อย่างแน่นอน

ทำไม? พวกคุณรวยอยู่กลุ่มเดียว? คุณเอารัดเอาเปรียบผมหรือเปล่า? คุณขูดรีดผมหรือเปล่า?

คนเราเวลาเผชิญวิกฤติความรู้สึกต่างๆ ก็ย่อมจะขุ่นมัวไปด้วย และมักจะมองคนที่ประสบความสำเร็จด้วยสายตาและอารมณ์ที่หงุดหงิดอยู่เสมอ ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์

ที่ผ่านมาเราจึงได้ยินเสียงเรียกร้องให้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้ธนาคารต่างๆลดดอกเบี้ยตาม อันจะทำให้ภาระดอกเบี้ยของธุรกิจต่างๆ ลดลง ผู้ประกอบการทั้งใหญ่และน้อยจะได้ลืมตาอ้าปากบ้าง

ขณะเดียวกันก็มีเสียงเรียกร้องให้ธนาคารมีโครงการพิเศษต่างๆ ออกมาช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม ที่มีปัญหาในขณะนี้อยู่เสมอๆ เป็นระยะๆ ดังที่เราได้ยินมาตั้งแต่ไตรมาสแรก

จากความ “กังวลใจ” นี่แหละที่ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะที่อยากเห็นธุรกิจ ธนาคาร ซึ่ง “รวย” อยู่ธุรกิจเดียวในขณะนี้ หันมาใช้ความรวยของท่านเพื่อช่วยเหลือธุรกิจอื่นๆที่ยํ่าแย่อยู่ในขณะนี้ให้มากขึ้น

จะช่วยอย่างไร? ด้วยวิธีใด? ผมคงนึกไม่ออกหรอกครับ ท่านต้องไปคิดเอาเองแล้วก็ดำเนินการโดยด่วน

ไม่อย่างนั้นท่านก็จะตกเป็น “เป้า” ของสังคม กลายเป็น “ผู้ร้าย” ของสังคมไทย…ทั้งๆที่ความมีกำไรของท่านเป็นเรื่องที่ถูกต้องควรแก่การยินดีตามหลักเศรษฐศาสตร์และทฤษฎีการเงินเบื้องต้น

ขอฝากไว้เป็นข้อคิดก็แล้วกันครับ ท่านซีอีโอแบงก์ใหญ่ทั้ง 10 แบงก์ที่เคารพ มีโครงการอะไรพิเศษๆออกมาปลอบใจคนตกทุกข์ ได้ยากก็เชิญเลยครับ จะมีเสียงปรบมือให้ท่านอย่างแน่นอน.

“ซูม”

ธนาคาร "กำไร" อู้ฟู่ "มองบวก" VS "มองลบ", 
ดอกเบี้ย, ธุรกิจ. การเงิน, ผลประกอบการ, ไตรมาส, ข่าว, ข่าววันนี้, ข่าวล่าสุด, ซูมซอกแซก