เมื่อช่วงหัวค่ำของวันออกลอตเตอรี่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่ๆ มากๆ เผยแพร่อย่างรวดเร็วในสื่อสังคมออนไลน์ว่า มีการพบศพนักท่องเที่ยวเวียดนามนอนเสียชีวิตอยู่ในห้องพักเดียวกันที่โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ ราชประสงค์ ถึง 6 ศพ
ผมเห็นข่าวจากมือถือก็รู้สึกตกใจและเดาว่าข่าวนี้ต้องเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกแน่นอน เพราะผู้เสียชีวิตแม้จะมีเชื้อชาติเวียดนาม แต่ก็ถือพาสปอร์ตสหรัฐฯอยู่ 2 ราย รัฐบาลสหรัฐฯ หรือสถานทูตสหรัฐฯ จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย
ปรากฏว่าจริงดังที่คาดไว้ อีกไม่กี่นาทีถัดมาเว็บไซต์ของ บีบีซี และซีเอ็นเอ็นต่างก็นำเสนอข่าวนี้อย่างละเอียดพร้อมกับพาดหัวหน้า 1 อย่างโดดเด่น รองจากข่าวการประชุมใหญ่ของพรรครีพับลิกันที่จะมาออกเสียงสนับสนุนนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในวันเดียวกัน
ผมยอมรับว่าที่รู้สึกตกใจก็เพราะหวั่นเกรงว่าข่าวใหญ่ข่าวนี้อาจมีผลกระทบมาถึงธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทย ที่เป็นธุรกิจเดียวที่กำลังสร้างรายได้ให้แก่ประเทศอย่างเป็นกอบเป็นกำในยามยากเช่นทุกวันนี้
แต่เมื่อทราบทางรัฐบาลไทยให้ความสำคัญมากกับเหตุการณ์นี้ โดยนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน พร้อมด้วย ผบ.ตร. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ถึงกับลงไปตรวจสอบสถานการณ์ถึงที่เกิดเหตุ และกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เร่งสืบสวนสอบสวนเพื่อคลี่คลายคดีโดยเร็วที่สุด
ซึ่งต่อมาทางตำรวจไทยก็ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างรวดเร็ว สามารถสรุปเบาะแสของการเสียชีวิตของชาวเวียดนามทั้ง 6 คนในห้องพักเดียวกันว่าเป็นการวางยาพิษของผู้เสียชีวิตคนหนึ่ง ที่หลังจากสังหารคนอื่นๆ ด้วยไซยาไนด์เรียบร้อยแล้ว ก็ดื่มน้ำชาผสมไซยาไนด์นั้นด้วยเพื่อสังหารตนเองเป็นคนสุดท้าย
ส่วนสาเหตุนั้นสันนิษฐานว่าเป็นการสังหาร “ล้างหนี้” หลังจากมีการลงทุนร่วมกันนับ 10 ล้านบาทแล้วขาดทุนย่อยยับ มีการทวงหนี้ทวงสินกันมาก่อนแล้วตามที่เป็นข่าว
ซึ่งต่อมา BBC ก็เป็นสำนักแรกที่รายงานผลสรุปของคดีนี้เผยแพร่ออกไปทั่วโลก อันจะเป็นผลทำให้ชาวโลกเข้าใจดีขึ้นในระดับหนึ่งว่าเป็นเรื่องของการฆ่า หรือการมีเรื่องราวในกลุ่มของพวกเขาเอง เพียงแต่มาใช้สถานที่ในประเทศไทยเท่านั้น
อย่างไรก็ดี แม้ในเบื้องต้นผลการสืบสวนสอบสวนและการพิสูจน์หลักฐานจะออกมาในลักษณะมีการสังหารกันเองในกลุ่มผู้เสียชีวิต แต่ก็ยังต้องมีหลักฐานหรือรายละเอียดที่ลึกซึ้งมากกว่านี้ หวังว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้เร่งรัดการดำเนินงานให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนโดยเร็วที่สุด
หลังจากนั้นทั้งทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ของเรา ตลอดจน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. จะต้องช่วยกันเผยแพร่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข่าวนี้ออกไปให้ชาวโลกรับรู้มากขึ้น
โดยเฉพาะการเผยแพร่ไปที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศของผู้เสียชีวิตในกรณีนี้ และปัจจุบันนี้ก็เริ่มมีแนวโน้มว่านักท่องเที่ยวเวียดนามจะเดินทางมาเที่ยวบ้านเราเพิ่มขึ้น
จากสถิตินักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวประเทศไทยระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯจัดทำตารางไว้…นักท่องเที่ยว เวียดนาม มาเที่ยวประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 391,272 คน เป็นอันดับที่ 12 ของนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ
ที่สำคัญเวียดนามเป็นประเทศที่การขยายตัวของจีดีพีสูงถึง 5.6 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสแรกของปีนี้ เป็นอันดับ 2 รองจากฟิลิปปินส์ แต่บางสำนักก็รายงานว่าเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนที่ +5.7 เท่าๆกัน
เป็นธรรมดาของประเทศที่ร่ำรวยขึ้น ประชาชนก็มักจะอยากออกไปท่องเที่ยวเพื่อเปิดหูเปิดตาหาความรู้ควบคู่กับความสนุกสนาน…ซึ่งประเทศไทยจัดอยู่ในระดับต้นๆ ของประเทศที่เริ่มพัฒนาในอาเซียนอื่นๆอยากมา
ในช่วงก่อนโควิดระบาดเราจะพบว่าประเทศที่เริ่มมีรายได้ดีขึ้น เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนาม จะมุ่งหน้ามาเที่ยวบ้านเรามากขึ้น
ผมเคยไปซอกแซกที่ห้าง “บิ๊กซี” ราชประสงค์ ซึ่งเป็นห้างหนึ่งของกรุงเทพฯ ที่อยู่ในใจของนักท่องเที่ยวเวียดนาม และจะแห่กันไปจับจ่ายซื้อของที่นี่จนถึงขั้นต้องขึ้นแผ่นป้ายภาษาเวียดนามเอาไว้เต็มไปหมด
ผมก็หวังว่าเวียดนามยังจะมาเที่ยวบ้านเราต่อไป ในจำนวนที่มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ ตามความร่ำรวยของเขาที่จะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
ว่าไปแล้วคนเวียดนามเนี่ย เวลามีเงินทองหรือร่ำรวยขึ้นก็ใจใหญ่ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน อย่างกรณีนี้ถึงขั้นมาพักโรงแรม 5 ดาวอย่าง แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ เลยทีเดียว
โรงแรมที่แม้แต่คนไทยเราจำนวนมากยัง “ตัวลีบ” เลยครับเวลาเดินผ่านในทุกๆ วันนี้.
“ซูม”