ช็อกไปทั่วโลกก็ว่าได้สำหรับเหตุการณ์คนร้ายลอบยิงอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครหาเสียงเลือกตั้งชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ในนามของพรรครีพับลิกัน ขณะปราศรัยหาเสียงในเมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อช่วงบ่ายๆ ของวันเสาร์ตามเวลาสหรัฐฯ หรือเช้าวันอาทิตย์ตามเวลาประเทศไทย
โทรทัศน์ทุกช่องในบ้านเรา (และน่าจะทั่วโลกด้วย) เผยแพร่ภาพข่าวขณะทรัมป์กำลังปราศรัยด้วยลีลาดุดันตามสไตล์…ทันใดก็มีเสียงคล้ายประทัดดังขึ้นหลายนัด…ทรัมป์หยุดพูดยกมือขึ้นแตะหูข้างขวา ก้มตัวหลบต่ำพร้อมๆกับหน่วยรักษาความปลอดภัยที่พุ่งเข้ารายล้อม และนำตัวไปขึ้นรถหลบหนีจากเหตุการณ์
ต่อมาสำนักข่าวต่างประเทศรายงานเพิ่มเติมว่า “มือปืน” ผู้ก่อเหตุถูกตำรวจยิงเสียชีวิตในขณะที่เขาพยายามกราดยิงด้วยปืนไรเฟิลจากหลังคาตึกตรงกันข้ามนั้นเอง และผลจากการกระทำของเขาทำให้ผู้มาฟังคำปราศรัยของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บอีก 2 คน
ผมเองแม้จะ “ช็อก” เช่นกัน จากข่าวที่เกิดขึ้น แต่ก็เกิดความรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่ตลอดเวลาว่า จะต้องมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นในสหรัฐฯไม่วันใดก็วันหนึ่ง หรืออีกหลายๆ วันข้างหน้า
เพราะตลอดเวลากว่า 50 ปีที่ผมติดตามเหตุการณ์ทางการเมืองและการเลือกตั้งสหรัฐฯก็เห็นมีแต่เรื่อง “วุ่นวาย” และ “เปื้อนเลือด” เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ
เมื่อ ค.ศ.1968 หรือ พ.ศ.2511 ผมไปเรียนหนังสือที่สหรัฐฯ และมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ในปีเดียวกัน
ผมตื่นเต้นมากกับบรรยากาศเลือกตั้ง ทั้งรู้สึกสนุก รู้สึกมัน และมีอารมณ์ร่วมไปกับคนอเมริกันเขาด้วยตามประสาคนที่ไม่เคยเลือกตั้งมาก่อนเลยในชีวิต เนื่องจากบ้านเราอยู่ในช่วงของการปกครองในระบอบเผด็จการจากจอมพลสฤษดิ์ถึงจอมพลถนอม กิตติขจร
นั่งเขียนรายงานการเลือกตั้งของเขาส่งกลับมาลงในหนังสือพิมพ์ “พิมพ์ไทย” แบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ตั้งชื่อคอลัมน์ว่า “การเมืองตู้” เพราะรายงานจากข่าวใน “ตู้” โทรทัศน์นั่นแหละครับ
แต่แล้วคืนหนึ่งของต้นเดือนมิถุนายนของ ค.ศ.นั้นเอง ก็มีข่าวช็อกว่า โรเบิร์ต เคนเนดี ว่าที่ตัวแทนพรรคเดโมแครตถูกมือปืนยิงเสียชีวิตที่โรงแรมใหญ่แห่งหนึ่งของแอลเอ ขณะประชุมผู้สนับสนุนเขาที่ฮอลล์ใหญ่ของโรงแรมดังกล่าว
คืนนั้นโทรทัศน์สหรัฐฯ หยุดรายการปกติทันที หันมารายงานข่าวนี้แข่งกัน พร้อมกับรายงานอาการของโรเบิร์ต เคนเนดี เป็นระยะๆ จนถึงวาระที่ท่านเสียชีวิตในอีกวันต่อมา
ผมยอมรับว่า ผมช็อกมากในช่วงนั้น เพราะนึกไม่ถึงว่าประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็น “ประชาธิปไตย” ระดับชั้นนำของโลกจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นถึงขั้นผู้สมัครชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีถูกยิงเสียชีวิต
หลังจากนั้นมาก็ยังมีการลอบยิงประธานาธิบดีและผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกหลายๆ ครั้ง เช่น ในปี 1972 นาย จอร์จ วอลเลซ ถูกยิงที่รัฐแมรีแลนด์ แม้ไม่เสียชีวิตก็เป็นอัมพาตตลอดชีวิต
ปี 1975 ประธานาธิบดี เจอรัลด์ ฟอร์ด ถูกยิงขณะดำรงตำแหน่ง 2 ครั้ง แต่โชคดีไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ปี 1981 ประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน ถูกยิงขณะดำรงตำแหน่งด้วยซ้ำที่วอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงสหรัฐฯ นี่แหละ ต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวอยู่พักใหญ่ๆ
ต่อมาแม้จะไม่มีข่าวการลอบยิงขณะหาเสียงเลือกตั้ง หรือยิงประธานาธิบดี ติดต่อกันมานานแต่ก็มีข่าวล่อแหลมและรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นอยู่เสมอๆ
รวมทั้งเหตุการณ์ที่ผู้สนับสนุนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ยกขบวนพร้อมอาวุธหลายชนิดเข้าล้อมรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อต้นเดือนมกราคม ปี 2564 เพื่อขัดขวางการประชุมรัฐสภามิให้รับรองชัยชนะของโจ ไบเดน
เกิดเหตุการณ์บานปลายถึงขั้นต้องใช้กำลังปราบจลาจลเรื่องราวจึงสงบลงได้ แต่ก็มีผู้เสียชีวิต 5 คน ซึ่งเป็นเหตุการณ์อัปยศทางการเมืองของสหรัฐฯ ครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง
นับจากวันที่ผมช็อกกับการเสียชีวิตของ โรเบิร์ต เคนเนดี และได้ยินข่าวร้ายๆ ทางการเมืองของสหรัฐฯ มากว่า 50 ปี ทำให้ความเชื่อถือศรัทธาที่มีต่อสหรัฐอเมริกา ในฐานะ “ผู้นำประชาธิปไตยของโลก” เสื่อมถอยไปเรื่อยๆ
ผมจึงไม่รู้สึกช็อกอะไรมากนักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณทรัมป์ เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว เพราะสังหรณ์ใจล่วงหน้ามาตลอดดังกล่าว
ที่สำคัญผมยังสังหรณ์ต่อด้วยว่าเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองครั้งนี้ยังไงๆ ก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของสหรัฐฯ อย่างแน่นอน…ไม่ว่าประธานาธิบดีคนต่อไปของประเทศนี้จะเป็นใครก็ตาม!
“ซูม”