เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีการแชร์บทสัมภาษณ์ของคนดัง (มาก) ในอดีตคนหนึ่งว่า มีความเห็นอย่างไรบ้างต่อสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันนี้
บุรุษท่านนี้ปัจจุบันอายุ 82 ปีเศษแล้ว เป็นคน “เคยรวยมาก” ที่ล้มครืนลงไปในยุค “วิกฤติต้มยำกุ้ง” จนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะมูลค่าเสียหายในธุรกิจของเขานั้นสูงนับแสนล้านบาท
จากเจ้าของสินทรัพย์มหาศาล และเคยติดอันดับคนรวยท็อปเทนของประเทศ เขากลายเป็นลูกหนี้ในชั่วข้ามคืน และออกมาให้สัมภาษณ์ฝากความไปถึงเจ้าหนี้ของเขาในยุคนั้นว่า “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย”
ทั้ง 3 “ไม่” ของเขากลายเป็นหัวข่าวใหญ่ของหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจทุกฉบับเมื่อ พ.ศ.2540…และขณะเดียวกันถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องเรียกว่า “ทัวร์ลง” เมื่อมีทั้งคำวิพากษ์วิจารณ์ คำตำหนิติฉินนินทา ไปจนถึงด่าทอส่งผ่านสื่อต่างๆไปถึงเขาว่า เป็นสิ่งที่รับไม่ได้
โดยเฉพาะคำว่า “ไม่จ่าย” ต่อไปจะกลายเป็นตัวอย่างของลูกหนี้ที่น่ารังเกียจของสังคมไทย
เกริ่นมาถึงตอนนี้ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านที่มีอายุเกิน 60 ปีและอยู่ในเหตุการณ์ต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 คงจะพอนึกออก…ว่าเจ้าของคำพูดสะท้านกรุงรายนี้ก็คือ คุณ สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง เจ้าพ่อธุรกิจ “เหล็กกล้า” ที่กลายเป็น “ตะกั่วเหลว” ไหลลงแม่น้ำลำคลองไปหมด จนทำให้เขาต้องแบกภาระหนี้กว่า แสนล้านบาท ดังกล่าว
เขาให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า วลี “3 ไม่” ของเขาไม่มีเจตนาในเชิงร้ายแต่อย่างใด…คำว่าไม่หนีเป็นการยืนยันว่า เขาจะไม่หนีไปไหน
ส่วนคำว่าไม่จ่ายเป็นการย้ำว่า เพราะเขา “ไม่มี” จึง “ไม่จ่าย” และหากจะให้เขาจ่ายก็ต้องมาเจรจา “ปรับโครงสร้างหนี้” กันอย่างตรงไปตรงมา
ปรากฏว่าบรรดาเจ้าหนี้ซึ่งมีทั้งสถาบันการเงินภายในและภายนอกกลับขอบคุณเขาที่ประกาศหลักการทั้ง 3 ข้อเข้ามาเจรจา เข้ามาดูแลแทบจะอุ้มเขาเหมือนไข่ในหินด้วยซ้ำไป
27 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก…เมื่อไม่กี่วันนี้เอง คุณสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งด้วยการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ออนไลน์ ฐานเศรษฐกิจ และมีการโพสต์ “แชร์” ต่อๆ กันไป ดังที่ ผมเกริ่นไว้ตอนต้น
ผู้สื่อข่าวให้เขาเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทย ณ วันนี้กับ “ต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 2540 ว่ายุคไหนหนักหนาสาหัสกว่ากัน?
คุณสวัสดิ์บอกว่า ครั้งนี้หนักกว่ามาก เพราะเป็นปัญหาทั่วโลก ต่างจากครั้งก่อนที่จะเกิดปัญหาเฉพาะประเทศที่เจอโรคต้มยำกุ้งโดยตรงเท่านั้น และต่อมามีโรคแฮมเบอร์เกอร์ก็จะมีผลกระทบเฉพาะประเทศที่เกี่ยวข้องเช่นกัน
แต่ครั้งนี้เป็นผลมาจากโควิด-19 ซึ่งระบาดทั่วโลกและทำลายเศรษฐกิจทั้งโลก แล้วยังมีสงครามรัสเซีย-ยูเครนตามมา มีสงครามอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสซ้ำเข้าให้อีก จึงหนักหนาสาหัสกว่ากันมาก
สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง เป็นห่วงมาก มองว่าเศรษฐกิจไทยวันนี้อาจเข้าขั้น “ไม่มีใครเข่นฆ่าก็จะอาสัญอยู่แล้ว” ใครมาบอกว่าใน 3 เดือน 6 เดือน เศรษฐกิจจะดีขึ้นผมไม่เชื่อเด็ดขาด
สำหรับข้อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาของเขาค่อนข้างยาวพอสมควร ซึ่งคงต้องใช้เวลาอ่านจึงจะสรุปได้…ขอฝากให้ท่านที่สนใจลองไปอ่านกันเอง ด้วยการเข้ากูเกิลพิมพ์คำว่า “สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง” จะมีทั้งเรื่องราวข่าวคราว รวมทั้ง “ล่าสุด” ที่ผมเขียนถึงวันนี้ด้วย
เหตุผลที่ผมหยิบยกเรื่องราวของเขามาเขียนถึงมีเจตนาเพียงข้อเดียว…เพราะมีความห่วงใยในสถานการณ์เศรษฐกิจทุกวันนี้ว่าหนักหนาสาหัสเช่นกัน หากเป็นอะไรไปหรือเกิดอะไรขึ้นอาจมีนักธุรกิจนักลงทุนตกอยู่ในภาวะเดียวกันกับคุณสวัสดิ์จำนวนไม่น้อย
อยากให้ศึกษาหรือเรียนรู้ในประเด็นที่คุณสวัสดิ์ เจ้าของวาทะ “ไม่มีไม่หนี ไม่จ่าย” สามารถเอาตัวรอดได้อย่างไรมากกว่า
ในข่าวและบทความหลายสิบเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสวัสดิ์ที่ผมอ่านจากกูเกิลน่าจะสรุปได้ว่า…เพราะการไม่มีไม่หนีไม่จ่ายของเขานั่นเอง…ทำให้ทุกวันนี้เขายังคงเป็น “เศรษฐีพันล้านบาท” อยู่ จากเศรษฐีแสนล้านเหลือพันล้าน…ก็ยังเรียกว่า “อาเสี่ย” ได้นะครับ
ถ้า “หนี” หรือ “คิดสั้น” อะไรสักอย่างใน พ.ศ.นั้น ก็จะไม่มีอะไรเหลือเลย จาก “แสนล้าน” จะเป็น “ศูนย์” ทันที ฝากนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่อาจอยู่ในฐานะเดียวกับคุณสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง เมื่อ พ.ศ.2540–โปรดรับสโลแกนของเขาไปพิจารณาด้วยก็แล้วกัน.
“ซูม”