บอกลา “การเมืองเก่า” “เศรษฐกิจไทย” ไปโลด

เมื่อวานนี้ผมเขียนด้วยความห่วงใยตามประสา “ผู้เฒ่า” ที่แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านเหตุการณ์มาเยอะก็เลยชักจะมีสัญชาตญาณหรือลางสังหรณ์คล้ายๆ “ฝูงมด” ที่มักจะรู้ถึงความผิดปกติของดินฟ้าอากาศล่วงหน้า

สังหรณ์ของ “มดเฒ่า” อย่างผมก็คือ “การเมือง” ไทยกำลังจะกลับเข้าสู่ วังวนเดิม ซะอีกแล้ว วังวนแห่งการเผชิญหน้า วังวนแห่งการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย–และวังวนแห่งความ “ชิงชัง” ซึ่งกันและกัน

อันเป็นผลเนื่องมาจากการกลับบ้านของ “คนแดนไกล” คนหนึ่ง–ที่มี “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ” ซึ่ง ณ บัดนาวนี้ ทั้ง ผืนหนัง และ ผืนเสื่อ ต่างก็เริ่มออกมาเปิดเผยตัวตนและแสดงปฏิกิริยาว่ารักหรือชังมากขึ้นเรื่อยๆ

ปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้นต่อมา คนแดนไกลท่านนี้ได้ออกเดินทางไปจังหวัดนครราชสีมา เพื่อไปเป็นประธานในพิธีเผาศพคนรถเก่าแก่ของท่าน

ภาพของ “ผืนหนัง” (คนรัก) และ “ผืนเสื่อ” (คนชัง) ก็ได้เกิดขึ้นทั้งในจอโทรทัศน์และหน้าข่าวหนังสือพิมพ์และสื่อสังคมออนไลน์ทั่วไปอีกครา

เฉพาะที่นครราชสีมาเมื่อวันก่อน ผืนหนัง (รัก) น่าจะมากกว่า ผืนเสื่อ (ชัง) พอสมควร เท่าที่เห็นด้วยสายตาผ่านจอทีวี แต่ที่แน่ๆ มีครบทั้ง 2 ฝ่าย พร้อมทั้งโชว์ป้ายต้อนรับสลับกระแหนะกระแหนที่ปากทางเข้าสู่วัด เห็นได้ชัดเจน

ก่อนจะเขียนต่อไป ขอผมแก้ไขความเข้าใจของผมที่ “ผิด” มาตลอด แต่เนื่องจากไม่มีผู้ใดทักท้วง ผมก็นึกว่าเข้าใจถูกแล้ว จนกระทั่งกลับไปเปิดพจนานุกรมอีกครั้งเมื่อวานนี้เอง

นั่นก็คือ “นิยาม” หรือ “ความหมาย” ที่ถูกต้องของ “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ” ตามหลักภาษาไทย

ผมไปเข้าใจว่าสำนวนนี้เป็นสำนวนในลักษณะปลอบใจตนเอง–คือปลอบให้เรารู้ว่าเกิดมาเป็นผู้เป็นคนเป็นมนุษย์แล้วไซร้ ย่อมจะมีทั้งคนรักและคนชัง เพราะฉะนั้นจงอย่าไปคิดอะไรมาก–ต่อให้ทำทุกอย่างดีที่สุด ก็ต้องมีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบเป็นของธรรมดา

ตามความเข้าใจของผม นึกว่าคำพังเพยหรือสำนวนนี้หมายถึงว่า ทั้งคนรักและคนชังนั้นน่าจะเยอะพอๆ กัน คนโบราณจึงเปรียบเสมือนผืนหนังกับผืนเสื่อ ซึ่งมีความกว้างความยาวอยู่ในระดับหนึ่ง

แต่จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 พิมพ์ครั้งที่ 4 พ.ศ.2531 ที่ผมได้รับอภินันทนาการมากว่า 30 ปีแล้ว และตั้งไว้เป็นประจำที่โต๊ะเขียนหนังสือ ได้ให้คำจำกัดความไว้ในหน้า 116 บรรทัดที่ 11 ว่า

“คนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อ (สำ) น.คนรักมีน้อยคนชังมีมาก”

อ่านแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจครับที่เข้าใจผิดมาตลอด นึกว่าหมายถึงคนรักกับคนชังมีมากเท่ากัน หรือจะมากจะน้อยกว่ากันบ้างคงไม่เยอะอย่างผิดสังเกต

ที่ไหนได้กลับแปลว่าคนรักมีน้อยกว่าคนชัง ดังที่คัดลอกพจนานุกรมให้อ่านอีกครั้งข้างต้น

ผมต้องขออภัยที่เข้าใจผิดและขออนุญาตแก้ไขเสียให้ถูกต้องในวันนี้ และต่อไปอาจจะนำมาใช้เปรียบเปรยไม่ได้อีกในกรณีของคนแดนไกล

เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งคนรักและคนชังท่านมีมากพอๆ กัน ไม่มีฝ่ายใดเยอะกว่าหรือน้อยกว่า…เยอะมากๆ ทั้งคู่ว่างั้นเถอะดังที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้แสดงพลังให้เห็นอย่างน่าเสียวไส้มาแล้วหลายครั้ง

ดังนั้นเมื่อทั้ง 2 ฝ่าย ทำท่าเหมือนจะออกมาแสดงพลังกันอีกแล้วในช่วงนี้ ผมจึงรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวและต้องรีบออกมาส่งสัญญาณเตือนความทรงจำตามวิสัย “มดเฒ่า” ขอให้ทั้ง 2 ฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจ…อย่าเดินหน้าทำอะไรที่จะนำไปสู่การเผชิญหน้า การท้าทาย ฯลฯ กันอีกเลยครับ

ที่เศรษฐกิจเราโตช้าและพูดกันว่าจีดีพีต่ำสุดเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน…ก็อย่าไปโทษใครเลย หันกลับไปดูในอดีตให้ดีๆ เถิด

พอจะโตและเริ่มโตได้ที่…ทะเลาะกันซะแล้ว…พอมีคนเข้ามาจัดการจนเข้าที่เริ่มต้นจะโตใหม่…อ้าว! ทะเลาะกันอีก

ประเทศไทยจึงเหมือนกับเพลงเกี่ยวข้าวของชาวพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ที่ร้องว่า “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” คือ ทั้งติดกึกติดกักไม่ขยับไปไหนหรือขยับได้ก็ทีละเล็กละน้อยอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้

เลิกทะเลาะกันได้เมื่อไหร่…หรือการเมืองเรานิ่งเมื่อใด ผมยังเชื่อเหลือเกินว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถออกเดินไปข้างหน้าอย่างสวยงามและสนุกสนานแบบ “รำวง” ไม่ติดกึกติดกักแบบ “เต้นกำรำเคียว” หรือรำเกี่ยวข้าวแน่นอนครับ.

“ซูม”

บอกลา, การเมืองเก่า, เศรษฐกิจไทย, คนแดนไกล, ทะเลาะ, ประเทศไทย, อดีต, ประท้วง, ข่าว, ข่าววันนี้, ข่าวการเมือง, ซูมซอกแซก