“การเมืองไทย” ในวังวนเดิม “ผืนหนัง” VS “ผืนเสื่อ”

เป็นอันว่าชัดเจนแจ่มแจ๋วแล้วนะครับ สำหรับมติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณี 40 สว.ยื่นเรื่องผ่านประธานวุฒิสภาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของทั้งคุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัวหรือไม่?

โดยมีมติด้วยคะแนนเสียง 6 ต่อ 3 ให้รับคำร้องในกรณีของนายกรัฐมนตรีไว้วินิจฉัย และมีมติด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4 ว่าไม่ต้องหยุดปฏิบัติราชการ

ส่วนในกรณีของนาย พิชิต ชื่นบาน ซึ่งชิงลาออกจากตำแหน่งไปแล้วนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 1 ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยแต่อย่างไร

ส่งผลให้ต้องมาลุ้นระทึกกันต่อไปเฉพาะในกรณีคุณเศรษฐาเท่านั้นว่า ในที่สุดแล้วผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร? ท่านนายกฯ จะพ้นสภาพการเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่?

โดยศาลท่านให้เวลา 15 วัน นับตั้งแต่วันได้รับสำเนาคำร้องในการจัดทำเอกสารชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ถ้านายกฯ เศรษฐาชี้แจงได้ตามกรอบเวลาและครบถ้วน…ศาลก็อาจนัดวินิจฉัยได้ทันที และอาจแล้วเสร็จได้ในเวลาไม่นานนัก

แต่หากนายกฯ ชี้แจงไม่ครบถ้วน หรือศาลขอให้ชี้แจงเพิ่มเติมก็คงต้องยืดออกไปอีก ซึ่งผมหวังว่าคงไม่ยืดยาวแบบหลายๆ เดือน เพราะอย่างที่หลายๆ ฝ่ายแสดงความกังวลไว้นั่นแหละ

ณ นาทีนี้ ความเชื่อมั่นในตัวท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทยของบรรดานักลงทุนต่างประเทศ หรือแม้แต่รัฐบาลต่างประเทศเองย่อมจะต้องลดลงไปไม่มากก็น้อย

ที่ท่านไปเชิญชวนนักลงทุนโน่นนี่เอาไว้จากการเดินทางแต่ละทริปรวมถึงการไปคุยกับผู้นำต่างประเทศไว้หลายประเทศ…เขาก็คงจะต้องหยุดรอไปก่อนว่าลงท้ายแล้วท่านจะได้เป็นนายกฯต่อไปหรือไม่?

แต่ก็นั่นแหละไม่ว่าศาลท่านจะใช้เวลานานเท่าใด เราก็ต้องยอมรับ และไม่ควรไปสร้างความกดดันอะไรให้แก่ท่านอย่างเด็ดขาด

ในระหว่างรอคำวินิจฉัยอยู่นั้น ผมเห็นด้วยกับคำให้สัมภาษณ์ของท่านนายกรัฐมนตรีที่บอกว่าท่านจะทำงานของท่านต่อไป เพราะประเทศชาติจะต้องเดินไปข้างหน้า (Move On) เนื่องจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่มีพลังสูงสุดในการขับเคลื่อนประเทศ

จึงต้องทำให้เต็มที่ไว้ก่อน และการที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีคำสั่งให้ท่านหยุดปฏิบัติราชการ ผมก็เดาเอาตามประสาคนที่อ่อนวิชากฎหมายว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านปฏิบัติ ไม่ว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือการลงนามโน่นนี่ตามระเบียบราชการของเราเอง จะได้รับความคุ้มครองจากศาลรัฐธรรมนูญ

สำหรับสาเหตุของการที่ท่าน สว.ไปเข้าชื่อร้องเรียนจนนำมาซึ่งความยุ่งยากทั้งหลายทั้งปวงนี้ จะไปโทษท่าน สว.ก็คงไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะมีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่ก็ตาม

เพราะก็เป็นที่ทราบอยู่แล้วว่าคุณพิชิต ชื่นบาน ท่านเหมือนสินค้ามีตำหนิ เมื่อมีข่าวจะได้เป็นรัฐมนตรีจึงมีเสียงทักท้วงอื้ออึงรอบด้าน

หากเชื่อคำท้วงติงของสังคมและไม่ตั้งท่าน ก็คงไม่มีใครที่ไหนจะมายื่นคำร้องให้วินิจฉัยอะไรได้เลย

มีการวิเคราะห์ว่าผู้ที่ไม่ค่อยเชื่อคำทักท้วงของสังคม และผลักดันให้แต่งตั้งคุณพิชิตก็คือ คนที่มาจาก “แดนไกล” และบัดนี้กลับคืนสู่เหย้าแล้วนั่นเอง

ทำให้ผมนึกถึงลางสังหรณ์ของผมที่ไปเห็นฝูงมดเดินขบวนยาวเหยียดก่อนฝนตกใหญ่ที่บ้านกรูดเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน แล้วกลับมาเขียนว่าผมชักเริ่มสังหรณ์เหมือนมดซะแล้ว เมื่อผ่านไปทางสะพานชมัยมรุเชฐ แล้วพบว่ามีการตั้งเต็นท์ปราศรัยทางการเมืองติดต่อกันมาหลายเดือนหลังจาก “คนแดนไกล” คืนสู่เหย้า

ยิ่งมีการวิเคราะห์ว่าคนแดนไกลใช้ “อำนาจซ้อน” ขึ้นมาเช่นนี้ ความยุ่งยากของประเทศไทยจึงอาจจะเกิดขึ้นต่อไปอีก

มดเฒ่าช่างสังหรณ์อย่างผมก็ได้แต่ภาวนาขอให้การวิเคราะห์ที่ว่ามีอำนาจซ้อนอำนาจเกิดขึ้นในขณะนี้ คงมิใช่เรื่องจริง

เพราะคนจากแดนไกลท่านนี้มี “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ” อย่างที่ผมเคยเขียนเปรียบเปรยไว้ และดูเหมือนว่านาทีนี้บรรดา “ผืนเสื่อ” หลายๆ ผืนทำท่าจะลุกขึ้นมาต่อต้านท่านเยอะขึ้น–นอกเหนือไปจากผืนเสื่อสะพานชมัยฯที่ผมเคยเตือนไว้แล้ว–เฮ้อ!

“ซูม”