เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมเขียนเป็นเชิงบรรยายพฤติกรรมของผมไว้ว่า เนื่องจากเหตุการณ์บ้านเมืองตึงเครียดมาก เพราะการแบ่งความคิดออกเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่าย ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
และจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งตามกฎกติกาทางการเมืองแล้ว คนแรกที่จะได้รับการเสนอชื่อให้รัฐสภาเลือก คือ “แคนดิเดต” ที่มาจากพรรคที่ได้คะแนนสูงสุด
ได้แก่ คุณ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล…ซึ่งมีคนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว
ไม่ว่าผลจะออกด้านไหน ผมก็หวั่นเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุแทรกซ้อนได้ทั้งสิ้น และหากเหตุนั้นบานปลายออกไปก็จะเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยที่กำลังจะฟื้นตัวอย่างน่าเสียดาย
เกิดความรู้สึกวิตกกังวลหนาวๆ ร้อนๆ เป็นที่สุด
แม้ผมจะร้องเพลง “Que sera, sera” อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดไปแล้วหลายจบ เพื่อทำใจยอมรับผลที่จะเกิดข้างหน้า แต่ก็อดมิได้ที่จะต้องเดินเข้าห้องพระสวดมนต์ขอพรท่านว่า…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขออย่านำไปสู่ความรุนแรง หรือการปะทะวุ่นวาย ซึ่งจะนำไปสู่ความเสียหายใหญ่หลวงดังกล่าว
ผมอัญเชิญ “พระสยามเทวาธิราช” จำลอง ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่งให้มากว่า 30 ปีแล้วไปประดิษฐานในมุมหนึ่งของห้องพระของผมด้วย ระหว่างสวดมนต์ภาวนา จึงสามารถขอพรได้ครบถ้วน ทั้งจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และ “เทพ” อันได้แก่ พระสยามเทวาฯ
ผมอนุมานของผมเองว่าผลการสวดมนต์อธิษฐานตลอดสัปดาห์ที่แล้วมีส่วนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เพราะแม้คุณพิธาจะมิได้รับเลือก แต่ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นตามมา ยังไม่มีอะไรน่าห่วงมากนัก
การไปชุมนุมให้กำลังใจของฝ่ายสนับสนุนคุณพิธา ที่หน้ารัฐสภา อยู่ในความสงบ แม้จะมีการแสดงอารมณ์ไม่พอใจออกมาบ้าง แต่ก็เป็นความไม่พอใจอย่างมีสติ…ในที่สุดก็แยกย้ายกันไป
เย็นวันเดียวกันและวันรุ่งขึ้นมีการไปชุมนุมอภิปรายที่หน้า หอศิลป์ฯ กรุงเทพฯ เขตปทุมวัน จำนวนหนึ่ง…ฝ่ายเชียร์ม็อบก็บอกว่าแน่นเอี้ยด หลายพันคน แต่ฝ่ายต้านม็อบบอกแค่เรือนร้อยเท่านั้น
ผมดู “ไลฟ์สด” จากหลายๆ ช่องในยูทูบ ขอสรุปว่าเอา 2 หารกับ 2 คูณ ผลลัพธ์ออกมาประมาณเรือนพันต้นๆ ก็แล้วกัน
ที่สำคัญผมเห็นนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปผ่านมาจำนวนหนึ่งไปยืนแวะดูด้วยฟังด้วย และถ่ายรูปด้วย ก่อนจะแยกย้ายกันไป หากการชุมนุมเป็นไปอย่างสันติเช่นนี้ ผมก็เดาว่านักท่องเที่ยวอาจจะชื่นชอบก็ได้ ถือเป็นของแถมประการหนึ่ง นอกเหนือไปจากโปรแกรมท่องเที่ยวที่เราตั้งใจจะไปเที่ยวในทริปนั้นๆ
สำหรับเหตุการณ์หลังจบการชกยกที่ 1 ของคุณพิธาที่ดุเดือดอยู่สักหน่อยเห็นจะเป็นการโพสต์ในโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่มีการใช้ถ้อยคำแบบ “เฮตสปีช” และการด่าทอที่รุนแรง ซึ่งหลายๆ คนที่โดนด่าทอต่างก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ท่านผู้รู้หลายท่านเคยบอกผมว่ากรณีการโพสต์ “เฮตสปีช” ผ่านโซเชียลมีเดีย สามารถจะทำให้ความแตกร้าวของสังคมใดสังคมหนึ่งรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะจะทำให้เกลียดชังกันมากขึ้น ลงท้ายหากคุมอารมณ์ไม่อยู่จะออกมาปะทะกันวุ่นวาย
ผมเห็นด้วยกับท่าน แต่ก็หวังว่าการใช้วิธีดำเนินการทางกฎหมายจะช่วยให้ผู้ที่ชอบโพสต์เฮตสปีชลดน้อยลงในอนาคต
รวมความแล้วหลังการชกยกแรก ซึ่งคุณพิธาแพ้ แต่ก็ไม่มีผลข้างเคียงอะไรตามมามากนัก นอกจากเฮตสปีชอย่างที่ว่า
อย่างไรก็ตามเมื่อการชกยังไม่ยุติ และมีข่าวว่าจะมีการชกยกที่ 2 อีกครั้งในวันพุธหน้า วันที่ 19 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ ผมก็คงต้องขอทำตัวในแบบที่ทำมาตลอดสัปดาห์ที่แล้วเหมือนเดิม
คือเข้าห้องพระสวดมนต์ภาวนาขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างจงผ่านไปด้วยดีอีกครั้ง…ไม่ว่าคุณพิธาจะพ่ายแพ้อีกในยกนี้ หรือกลับมาเป็นฝ่ายชนะได้ก็ตามที
หวังว่ากองเชียร์ของทั้ง 2 ฝ่ายจะอยู่ในความสงบ หากจะมีอะไรฮึดฮัดบ้างก็ขอให้อยู่ในขอบเขตของกฎหมายอย่างเคร่งครัด เหมือนยกที่แล้วนะครับ
ผมยังเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกจะดลบันดาลให้ความสุขความเจริญ เป็นของประเทศไทย และพี่น้องชาวไทยตลอดไป.
“ซูม”