เพราะ “เมืองไทย” น่าอยู่ จึงอยากให้ “คนดี” มาอยู่

ขณะกำลังนั่งคิดว่าวันนี้จะเขียนเรื่องอะไรดีหนออยู่นั่นเองสื่อสังคมออนไลน์ก็แชร์ข่าวหนึ่งจาก “เมเนเจอร์ออนไลน์” พาดหัวว่า “เจ๋งอีกแล้วกรุงเทพฯ” ติดอันดับ 6 เมืองที่น่าอยู่และน่าทำงานที่สุดในโลก

ครั้นเมื่ออ่านรายละเอียดทราบว่า ผู้จัดอันดับที่ว่านี้คือ Inter Nation ชุมชนออนไลน์ดังระดับโลกสำหรับชาวต่างชาติที่เรียกว่า Expat (ชาวต่างชาติที่ไปอาศัยอยู่ในประเทศอื่นที่มิใช่ประเทศตนเอง) ซึ่งมีสมาชิกหลายล้านคนทั่วโลก ผมก็ร้องอ๋อด้วยความยินดี

Inter Nation ตั้งคำถามเชิงสำรวจในหัวข้อเกี่ยวกับเมืองที่น่าอยู่ น่าทำงานในโลกนี้ว่ามีที่ไหนบ้าง? และอะไรบ้างที่ทำให้เมืองนั้นๆ น่าอยู่น่าอาศัย ได้รับคำตอบจากสมาชิกมากกว่า 12,000 คน

ประมวลคำตอบออกมาแล้วก็ได้ชื่อเมือง “ที่น่าอยู่” และ “น่าทำงาน” 10 อันดับแรกของโลก ดังนี้

1.บาเลนเซีย (สเปน), 2.ดูไบ (ยูเออี), 3.เม็กซิโกซิตี (เม็กซิโก), 4.คะแนนเท่ากับ 3 ลิสบอน (โปรตุเกส), 5.มาดริด (สเปน), 6.กรุงเทพฯ (ประเทศไทย), 7.บาเซิล (สวิตเซอร์แลนด์), 8.เมลเบิร์น (ออสเตรเลีย), 9.อาบูดาบี (ยูเออี) และ 10.สิงคโปร์

ผมไม่แน่ใจว่าเรามีเมืองขนาดใหญ่กี่ร้อยกี่พันเมืองทั่วโลกในขณะนี้ การที่ กรุงเทพมหานคร ของเราติดอันดับ 6 เช่นนี้ จะไม่ให้กองเชียร์ ไทยแลนด์ อย่างผมปลาบปลื้มได้อย่างไรละครับ

เมื่อดูในรายละเอียดถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้กรุงเทพฯของเราขึ้น Top Ten โลก ก็พบว่าในคะแนนหลัก 6 ประเภทนั้น เราทำคะแนนที่คิดออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ดังนี้

79% มีความสุขกับชีวิตโดยทั่วไป, 69% มีความสุขต่อค่าครองชีพ, 54% สามารถหาเพื่อนใหม่ได้ง่ายๆ, 66% มีความสุขต่ออาชีพการทำงาน, 68% มีความสุขต่อความสมดุลระหว่างการทำงาน และการใช้ชีวิต และ 82% มีความสุขต่อคุณภาพการดูแลรักษาทางการแพทย์

จากคะแนนทั้งหมดนี้จะเห็นว่าเราได้สูงสุดถึง 82 เปอร์เซ็นต์ ในข้อสุดท้ายว่า ด้วยคุณภาพการดูแลและรักษาทางการแพทย์

ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของนักวางแผนพัฒนาหลายท่านที่บอกว่า เรามีโรงพยาบาลที่ดี คุณภาพสูงระดับโลก มีหมอเก่งๆ ที่เชี่ยวชาญในโรคต่างๆ ระดับโลก ฯลฯ จึงสมควรที่จะใช้นโยบายผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็น Hub หรือศูนย์กลางทางด้านสุขภาพให้จงได้

จากนั้นก็ได้มีการดำเนินการเรื่อยมา มีการสร้างโรงพยาบาลที่ดี ทันสมัยติดต่อกันมา และเมื่อได้อ่านคำตอบนี้ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ความพยายามและการดำเนินงานในด้านนี้ ค่อนข้างบรรลุผลทีเดียว

หวังว่าผลสำรวจนี้จะมีส่วนช่วย ให้คนต่างชาติมาอยู่อาศัยมาลงทุนในบ้านเรามากขึ้น โดยไม่ต้องแก้กฎหมายใดๆ อันจะทำให้ถูกมองว่าขายชาติ ขายแผ่นดิน เหมือนที่จะมีการแก้กฎกระทรวงว่าด้วยการถือครองที่ดินของคนต่างด้าว เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้วอีกนะครับ

สรุปผมเห็นด้วยกับนโยบายดึงคนมีคุณภาพ และดึงเงินทุนจากต่างประเทศตามที่รัฐบาลนี้ประกาศเป็นนโยบายล่าสุด แต่ผมก็ห่วงว่าเพราะความหย่อนยานของเราในหลายๆ อย่าง…อาจจะได้มาแต่คนไม่มีคุณภาพเสียเท่านั้น หรือทุนที่ไม่ใสสะอาดเสียเท่านั้น

จึงขอฝากรัฐบาลและฝ่ายข้าราชการ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับคนต่างด้าวทั้งหลาย ให้ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวนี้อย่างระมัดระวัง และอย่างรอบคอบรัดกุมเป็นที่สุด

อย่าให้เกิดกรณีคล้ายๆ กับที่นักธุรกิจจีนกลุ่มหนึ่ง เข้ามาอยู่อาศัย และก็ทำแต่งาน “สีเทาๆ” จนท่าน ผบ.ตร. และท่านรอง ผบ.ตร.บิ๊กโจ๊ก ต้องเหน็ดเหนื่อยในการปราบปรามอยู่ขณะนี้ขึ้นอีกเป็นอันขาด

ขอยืนยันว่านโยบายเชิญชวนชาวต่างประเทศมาอยู่อาศัยและมาลงทุนในบ้านเรา เป็นนโยบายที่ดีมาก…แต่มีข้อแม้ว่า คนที่จะมาอยู่ และเงินทุนที่ไหลเข้ามา ควรเป็นคนที่ประกอบอาชีพ “สีขาว” คือสัมมาอาชีวะอันบริสุทธิ์และด้วยเงิน “สีขาว” หรือเงินบริสุทธิ์เท่านั้น

ไม่เอาแล้วนะครับ บุคคลสีเทาและเงินทุนสีเทา เพราะการเมืองไทยเปลี่ยนได้เสมอ หาก “บิ๊กตู่” ไม่อยู่ ท่าน ผบ.ตร.ปัจจุบันท่านนี้ไม่อยู่ และ “บิ๊กโจ๊ก” ก็ไม่อยู่ ใครล่ะครับจะกล้าปราบ “ธุรกิจสีเทา”.

“ซูม”

ข่าว, กรุงเทพมหานคร, น่าอยู่, ธุรกิจสีเทา, การลงทุน,​ เศรษฐกิจ, ซูมซอกแซก