เมื่อวันเสาร์ที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันไหว้พระจันทร์ของชาวจีนและตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ซึ่งเป็นวันพระ และโดยธรรมเนียมไทยก็มักจะมีการทำบุญใส่บาตรหรือสวดมนต์ไหว้พระกันเป็นประจำอยู่แล้ว
ประกอบกับช่วงนี้การระบาดของโควิด-19 ก็เริ่มซาลง พวกเราชาวกองบรรณาธิการไทยรัฐทั้งปัจจุบันและศิษย์เก่า จึงถือเป็นโอกาสมงคลฤกษ์นัดไปรวมตัวที่ ศาลหลักเมือง กราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลทั้งแก่ตัวเราเองและครอบครัว พร้อมกับถือโอกาสพบปะสังสรรค์กันไปด้วย
โดยรองหัวหน้ากองบรรณาธิการ คุณเพ็ชรากรณ์ วัชรพล ขันอาสาเป็นเจ้าภาพใหญ่ รับภาระในการประสานงานติดต่อศาลหลักเมืองและจัดหาเครื่องไหว้สังเวยตามพิธี
รวมทั้งขอเชิญพวกเราทุกคนไปรับประทานอาหารเช้าร่วมกันเมื่อเสร็จพิธีแล้ว ที่ร้านกาแฟโบราณ “โกปี๊เฮี้ยะไถ่กี่” ผ่านฟ้าอีก 1 มื้อ
ผมเองเมื่อทราบข่าวก็ขอไปร่วมด้วยทันที แม้การตื่นเช้าพอสมควรเพื่อไปให้ทันพิธีที่จะเริ่ม 8 โมง ออกจะเป็นปัญหาของคนนอนตื่นสายอย่างผมอยู่บ้างก็ตาม
แต่โอกาสเช่นนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นัก เพราะเท่าที่ฝ่ายเลขานุการแจ้งมา เราจะเข้าไปไหว้ตามขั้นตอนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ถึงหน้า “เสาหลักเมือง” อันศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะมีพิธีบวงสรวงตามพิธีพราหมณ์ที่หน้าศาลอีกครั้ง
ที่สำคัญ การไปไหว้ศาลหลักเมืองไม่เพียงแต่จะไปไหว้เพื่อขอพรท่านให้คุ้มครองป้องกัน ปกปักรักษา และบันดาลให้เราอยู่เย็นเป็นสุข ดังความเชื่อของพี่น้องชาวไทยเท่านั้น
แต่ยังเป็นการย้อนอดีตไปเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของการสร้างบ้านแปงเมือง ก่อกำเนิดกรุงรัตนโกสินทร์อีกด้วย
ดังที่ทราบกันแล้วว่า เมื่อสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325 หรือเมื่อ 240 ปีเศษที่ผ่านมานั้น ก็ทรงพระราชดำริที่จะย้ายเมืองหลวงจากฝั่งธนบุรีมาอยู่ทางฝั่งปัจจุบันโดยทันที
ด้วยเหตุผลทางด้านยุทธศาสตร์เพื่อการปกป้องตัวเมืองจากอริราชศัตรูเป็นประการหลัก เพราะอยู่ทางฝั่งนี้จะกระทำได้ง่ายกว่า เพราะได้ธรรมชาติช่วยให้ข้าศึกโจมตีได้ยากกว่า
ดังนั้น เพียง 2 วันที่ขึ้นครองราชย์คือวันที่ 8 เมษายน 2325 ก็ทรงโปรดฯ ให้พระยาธรรมาธิกรณ์และพระยาวิจิตรนาวีเป็นแม่กองคุมช่างและไพร่พลไปสำรวจหา และกำหนดบริเวณที่เหมาะสมที่จะสร้างพระนครใหม่จนเป็นที่เรียบร้อย
ต่อมาในวันที่ 21 เมษายน 2325 หรือเพียง 15 วันที่ทรงครองราชย์ก็ให้มีพิธียก “เสาหลักเมือง” จนแล้วเสร็จในวันเดียว
จากนั้นด้วยพระบุญญาบารมีและพระปรีชาสามารถของบูรพมหากษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ มหานครแห่งใหม่ก็เจริญรุ่งเรืองสืบมาแม้จะต้องเผชิญเหตุเภทภัยตลอดจนปัญหาอุปสรรคนานาประการโดยตลอดก็สามารถแก้ไขและผ่อนปรนได้ในที่สุด
การไปไหว้ศาลหลักเมืองในครั้งนี้ทำให้ทราบว่า เสาหลักเมืองของกรุงรัตนโกสินทร์นั้นมี 2 หลักด้วยกัน…โดยหลักแรกสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยรัชกาลที่ 1 ดังประวัติที่กล่าวถึงข้างต้น
ต่อมาเสาเดิมเริ่มผุพังลงตามกาลเวลา ในหลวงรัชกาลที่ 4 จึงโปรดฯ ให้จัดตั้งเสาใหม่ขึ้นแทนเสาเดิม
แต่ก็ยังเก็บเสาเดิมไว้และในการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ.2525 เนื่องในวาระครบ 200 ปีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์…ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงโปรดฯ ให้นำทั้ง 2 เสามาประดับไว้คู่กันนับตั้งแต่นั้น
คณะของเราต่างก็พร้อมใจกันกราบไหว้บูชาทั้ง 2 หลัก และสำหรับผมนั้นนอกจากขอพรเป็นการส่วนตัวแล้ว ยังขอพรเป็นการส่วนรวมมาด้วย
ขอให้โควิด-19 ซาโดยสิ้นเชิงและอย่ากลับมาอีก…ขอให้เศรษฐกิจที่ซวนเซหนักจงฟื้นโดยเร็ว และสำหรับการเมืองที่ดูสับสนอลหม่านเหลือเกิน ก็ขอให้คลี่คลายไปในทางที่ดีด้วยเถิด
ขอท่านเสียเยอะไม่ทราบท่านจะบันดาลให้ได้มากน้อยสักแค่ไหน…แต่ยังไงๆ ก็ต้องขอไว้ก่อนละ เพราะยามนี้ไม่รู้จะพึ่งใครดีก็ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี่แหละครับ.
“ซูม”