เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม ตามเวลาบ้านเราซึ่งตรงกับเวลาหัวค่ำของวันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม ที่สหรัฐอเมริกา…สำนักข่าวต่างประเทศทุกสำนักพร้อมใจกันรายงานข่าวว่า ตลาดหุ้นที่สหรัฐฯ ปิดตลาดลงไปอย่างชนิดต้องใช้คำว่า “ระเนนระนาด” เพราะร่วงกราวทั้ง 3 ตลาดหลัก
ดาวโจนส์ดิ่งไป 1,008 จุด ปิดที่ 32,283 จุด เอสแอนด์พีร่วง 141 จุด ปิดที่ 4,058 จุด และแนสแด็กก็ร่วงไปถึง 498 จุด ปิดที่ 12,142 จุด
โดยเฉพาะดาวโจนส์ที่รูดไปกว่าพันจุดนั้น นานๆจะเกิดขึ้นสักที ถือเป็นการร่วงแบบผิดปกติ ทำให้ต้องรีบอ่านข่าวต่อด้วยความอยากรู้
ผลปรากฏว่าเป็นเพราะ “สุนทรพจน์” ของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการประชุมใหญ่ประจำปีที่จัดขึ้นโดยเดอะเฟด ที่ แจ็คสัน โฮล สถานที่พักผ่อนหย่อนใจอันมีชื่อเสียงของรัฐไวโอมิงนั่นเอง
ท่านประธานยืนยันว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯยังมีความจำเป็นที่จะต้องจัดการกับ “ภาวะเงินเฟ้อ” ที่ยังสูงอยู่ให้ลดลงมาให้ได้
แน่นอนจะต้องให้เวลาและใช้นโยบายเชิงรุกในการดำเนินการ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯขยายตัวต่ำกว่าแนวโน้มปกติไปบ้าง รวมถึงจะทำให้ผู้คนตกงาน ธุรกิจปิดตัวเอง กระทบไปถึงครัวเรือนและผู้ประกอบการบางส่วน
แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็น “ต้นทุน” ที่โหดร้าย สำหรับการลดภาวะเงินเฟ้อ แต่ก็ต้องทำเพราะการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งไม่สามารถรักษาเสถียรภาพของระดับราคาไว้ได้ จะเกิดความเสียหายยิ่งกว่า
ในบางช่วงบางตอนท่านยกตัวอย่างด้วยว่า การขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไป อาจจะเป็น 0.75 เปอร์เซ็นต์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับข้อมูลที่ออกมาอีก 1 เดือนข้างหน้า ซึ่งเราจะมาตัดสินใจกันอีกครั้ง
ท่านยังอธิบายอีกว่า เมื่อขึ้นดอกเบี้ยแรงแล้ว ก็ต้องใช้เวลาที่นานพอสมควรด้วย เพราะมีบทเรียนเกิดขึ้นหลายครั้งที่ผ่านมาที่ชี้ให้เห็นว่าการลดความเข้มเร็วเกินไป ทำให้เงินเฟ้อไม่ตายสนิท และกลับมาเกิดปัญหารอบใหม่
สรุปที่คุณเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวยืดยาวพอสมควรนั้น มีประเด็นสำคัญโดยย่อๆ ว่า…เงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังสูงอยู่ แม้มาตรการที่ใช้ครั้งก่อนๆ ทำให้ชะลอได้บ้าง แต่ยังไม่พอ จำเป็นต้องทำต่อ โดยใช้เครื่องมือที่ใช้อย่างได้ผลเสมอมา…คือการขึ้นดอกเบี้ย เพียงแต่จะต้องขึ้นอย่างแรงพอและยืนเวลาเอาไว้นานพอ
โดยส่วนตัวผมเฉยๆ กับการขึ้นลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาโดยตลอดสำหรับการร่วงคราวนี้ ผมอดมิได้ที่จะแอบถอนหายใจลึกๆ
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นแปลว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯยังจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อสหรัฐฯไม่สำเร็จ และยังจะต้องใช้ยาแรงต่อ
หากใช้ยาแรงงวดนี้แล้วยังไม่อยู่อีก จะเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกบ้าง คงเป็นเรื่องที่จะต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป
คงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ถ้ามันจบลงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ “ถดถอย” จากเบาไปถึงหนัก และในที่สุดย่อมส่งผลให้เศรษฐกิจโลกถดถอยตามไปด้วย เพราะทุกๆอณูทางเศรษฐกิจการเงินล้วนโยงถึงกันหมดในยุคนี้
ผมยอมรับว่าหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในยุคนี้ พัฒนาแตกหน่อแตกใบไปไกลกว่ายุคสมัยที่ผมเรียนหนังสือ…โดยเฉพาะการใช้ “ยา” หรือ “อาวุธ” ต่างๆ ในการสู้รบกับปัญหาเศรษฐกิจ
จึงฝากความหวังไว้กับคนรุ่นน้องที่ทันสมัย “2 คน” ในขณะนี้ หนึ่งก็คือ ท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ผมเชื่อว่าท่านติดตามอยู่แล้ว และเตรียมการอยู่แล้วว่าเราควรตั้งรับอย่างไรบ้าง?
สอง ท่าน ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีต 1 ใน 4 กุมาร ที่ล้างมือในอ่างทองคำทางการเมืองมาเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ แบงก์บัวหลวง (ธนาคารกรุงเทพ) เต็มตัวขณะนี้
ผมตามอ่าน “เฟซบุ๊ก” ของท่านกอบศักดิ์ทุกวัน ท่านวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ดีมาก
พบเห็นอะไรที่ควรบอกควรเตือนรัฐบาลไทย รีบบอกรีบเตือนนะครับ หากจะยังขุ่นเคืองรัฐบาลไทยชุดนี้อยู่บ้างที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนท่านอย่างไม่ไยดีเมื่อครั้งกระโน้น…ก็ขอให้ลืมเสียเถิด
ขอให้นึกถึงการอยู่รอดของประเทศของเราโดยรวมเป็นหลัก…มีอะไรรีบบอก รีบแจ้ง รีบเสนอแนะทันที จะขอบคุณยิ่ง––ฝากท่านด็อกเตอร์ไว้ด้วยนะครับ.
“ซูม”