ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามีการแชร์เฟซบุ๊กของชมรมแพทย์ชนบทอย่างกว้างขวาง กรณีวัคซีนเหลือเยอะ และกระทรวงสาธารณสุข จัดสรรให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทั่วประเทศถึง 16.8 ล้านโดส เปรียบเสมือนเอาวัคซีนไปทิ้งที่ปลายทาง
เพื่อแก้ปัญหาวัคซีนส่วนกลางล้นคลัง เพราะคนฉีดน้อยลงมากในขณะนี้ ทำให้วัคซีนใกล้หมดอายุ
ในเฟซบุ๊กระบุว่า “ซิโนแวก 1.17 ล้านโดส ไม่มีใครฉีดแล้วเปลืองค่าส่งเปลืองตู้เย็น เชื่อว่า มีอีกนับล้านโดสที่รอวันหมดอายุ”
“แอสตราเซเนกา 9.26 ล้านโดส ยังมีเต็มคลังทุกระดับไม่ว่าจะเป็น รพ.สต. รพช.และระดับจังหวัดรอวันหมดอายุเช่นกัน
“ไฟเซอร์ 5.86 ล้านโดส ยังมีความนิยมสูงสุด แต่ความต้องการฉีดปัจจุบันก็ลดลงไปมาก จำนวนที่จัดสรรมาแล้วยังเต็มตู้เย็นรอวันหมดอายุเช่นกัน
จากนั้นเฟซบุ๊กที่อ้างชื่อชมรมแพทย์ชนบทก็ลงท้ายว่า…ข้อเสนอที่ สธ.ควรจะเปิดอกรับพิจารณามี 2 ประการคือ
“1.ขอให้รัฐบาล ศบค. และ สธ.ยอมรับความจริงว่า สั่งวัคซีนมาเกินกว่าความต้องการในพื้นที่ ขยันฉีดแล้วทำกันเต็มที่แล้ววัคซีนยังมีอยู่เต็มตู้เย็น หากจะแก้ปัญหาให้แก้ด้วยการรับสารภาพแบบแมนๆ หากหมดอายุ บริจาคไม่ออกก็รวบรวมไปทำลาย ไม่ต้องส่งมาให้หมดอายุที่ รพ.สต.”
ผมคัดลอกแต่ข้อ 1 ก็แล้วกัน เพราะข้อสองดูจะเป็นเรื่องของการปฏิบัติต่างๆ คงไม่มีประเด็นอะไรมากสำหรับคนนอกอย่างเราๆ
อ่านโพสต์นี้ตอนแรกผมยังนึกว่าเป็น “เฟกนิวส์” เพราะนึกไม่ถึงว่าข้าราชการยุคนี้เขากล้าหาญชาญชัยถึงขนาดนี้ โพสต์ตีแสกหน้าหน่วยเหนืออย่างตรงไปตรงมาว่างั้นเถอะ
แต่เมื่อทางกระทรวงสาธารณสุข โดย นพ.สุเทพ เพชรมาก หัวหน้า ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขออกมาชี้แจงเฟซบุ๊กนี้อย่างเป็นทางการ ก็แปลว่าไม่ใช่เฟกนิวส์
ท่านบอกว่าเป็นการปฏิบัติตามมติที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) เนื่องจากพบว่า ปัจจัยหนึ่งที่ประชาชน ไม่มารับวัคซีน เพราะเดินทางไม่สะดวก หรือไม่มีคนพาไปฉีด ที่ประชุมจึงมีมติให้ส่งวัคซีนไปยัง รพ.สต. ซึ่งเป็นหน่วยบริการใกล้บ้านที่สุด
เพื่อประชาชนที่อยู่ห่างไกลสามารถพาผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงไปฉีดใกล้บ้านได้ถือเป็นการจัดวัคซีนเชิงรุก
ฟังดูแล้วก็มีเหตุมีผล แต่ก็ต้องรอดูครับว่าเฟซบุ๊กของชมรมแพทย์ชนบท จะมีความเห็นในกรณีคำชี้แจงของท่านผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ว่าอย่างไร
สำหรับข้อเสนอของชมรมแพทย์ชนบทที่บอกว่า รัฐบาล ศบค.และ สธ.ควรยอมรับอย่างแมนๆว่า สั่งมาเกินความต้องการนั้น ผมก็ว่ารัฐบาล ศบค.และ สธ.ควรยืดอกยอมรับนะครับ
เพราะไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเจ้าโควิด-19 จะสลายตัวอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็ต้องสั่งเต็มที่เอาไว้ก่อน
อีกอย่างบางช่วงบางตอนวัคซีนหายากมาก เพราะความต้องการทั่วโลก ถ้าเราไม่เร่งซื้อล่วงหน้า เราก็อาจจะชวดไม่มีวัคซีนมาฉีดให้ประชาชน ซึ่งก็จะโดนด่าหนักอีกจนได้
ถ้าทำอะไรทุกอย่างด้วยความจริงใจ ก็ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไร
การทำงานใหญ่ก็อาจพลาดได้ และผมก็เดาว่าคงพลาดกันทุกประเทศ เพราะโรคนี้เป็นโรคเกิดใหม่ ไม่มีชาติไหนมีความรู้มาก่อน
มีผู้คำนวณว่า ในกรณีของบ้านเราอาจต้องปล่อยให้วัคซีนหมดอายุ รวมเป็นเงินร่วมหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว
ถามว่าเสียดายไหมเงินหมื่นล้านบาท ก็เสียดายอยู่เพราะเยอะเหมือนกัน แต่การบกพร่องโดยสุจริต ยึดความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก ถ้าเป็นผม…ก็พร้อมจะยืดอกอย่างแมนๆ ยอมรับ
สรุปว่า เรื่องวัคซีนของประเทศไทยเรานั้น ช่างมีปัญหาเยอะจริงๆ ไปซื้อบางยี่ห้อก็บอกว่า “โหลยโท่ย”…พอซื้ออีกยี่ห้อ เพราะจะมีการมาผลิตในโรงงานในประเทศไทย ก็บอกว่ามีนัยโน่นนี่
ครั้นได้วัคซีน “เทพ” ที่อยากได้มาก พอได้มาก็ไม่ยอมฉีดปล่อยให้เหลือเยอะเช่นเดียวกัน
แต่ก็เอาน่า แม้จะมีปัญหาเยอะๆแบบนี้ ทว่าล่าสุดยอดติดเชื้อโควิดของเราแค่ 4.4 ล้านกว่าคน จากประชากร 66 ล้านคน เป็นอันดับ 24 ของโลก และยอดเสียชีวิต 30,174 ราย เป็นอันดับ 33 โลก
เทียบกับสหรัฐฯ เจ้าของวัคซีนเทพที่เสียชีวิตเป็นอันดับ 1 ของโลก 1,033,591 ราย ล่าสุดนั้น ก็พอจะยืดอกอย่างแมนๆ ได้นะผมว่า.
“ซูม”