บันทึกวันกิน “ครั้งแรก” ในชีวิต นํ้าพริกไทย + “ปลาทู” โอมาน

ผมเขียนเล่าไว้ในคอลัมน์ “ซูมซอกแซก” ในไทยรัฐฉบับวันอาทิตย์เมื่อวานนี้ว่า ผมเพิ่งไปทัวร์จังหวัดพระนครศรีอยุธยากับท่านอาจารย์ ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา…เมื่อสัปดาห์ก่อนโน้น และบังเกิดความประทับใจอย่างยิ่ง จึงตั้งใจจะเขียนเรื่องซอกแซกเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยาสัก 2-3 อาทิตย์

แต่เผอิญว่าในขณะที่คณะทัวร์ของเราแวะรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านโด่งดังร้านหนึ่งของจังหวัดอยุธยานั้นเอง ผมก็พบกับ “อาหาร” จานหนึ่งที่ผมถือว่าเป็น “ข่าวใหญ่” และ “ข่าวใหม่” ของผมที่จะต้องรีบนำมาเล่าและปรึกษาหารือท่านผู้อ่านโดยด่วน…จึงขออนุญาตแซงคิวคอลัมน์ซอกแซกมาเขียนถึงเสียก่อนในวันนี้

อาหารจานที่ว่านี้จริงๆ แล้วก็คืออาหารหลักของคนไทยเรา เป็น “เมนูระดับชาติ” ที่ฮิตที่สุดในทุกๆ ภาคของประเทศ…จะเรียกเสียว่าอาหาร “วัฒนธรรม” ประจำชาติไทยเราก็เห็นจะได้

“นํ้าพริกปลาทู” ไงล่ะครับ…เมนูหลักที่คนไทยไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร? แค่ไหน? จะต้องรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดียิ่ง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมานี้เอง เราก็คงจะได้ยินข่าวคราวกันแล้วว่า ปลาทูในอ่าวไทยของเราเริ่มร่อยหรอลง เพราะคนไทยเรากินปลาทูเก่งมาก ทำให้ระยะหลังๆ ต้องออกไปจับปลาทูกันไกลๆ ถึงทะเลของประเทศเพื่อนบ้านมาเสริม

มีทั้งปลาทูเขมร ปลาทูเวียดนาม ไปจนปลาทูอินโดนีเซีย เป็นต้น

แม้จะตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง…แต่ผมก็ทำใจถือว่าเป็นปลาทูในทะเลใกล้ๆ กัน ตัวขนาดเท่าๆ กัน รสชาติแม้จะต่างกันบ้าง (ปลาทู หน้างอคอหัก ของสมุทรสงครามของเราอร่อยสุด) แต่ก็พออนุโลมและยอมรับได้

แต่ที่ร้านอาหารของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ชื่อร้าน “ขาวละออ” ร้านสวยงามมาก อยู่ริมฝั่งแม่นํ้าเจ้าพระยา ที่ตำบลบ้านป้อม อำเภอพระนคร ศรีอยุธยานั่นแหละ) เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วปลาทูของเขาตัวโตมาก…โตขนาดเท่าฝ่ามือผม และน่าจะยาวสัก 10 นิ้วเห็นจะได้

ผมเห็นแล้วก็สะดุ้ง (เพราะเป็นครั้งแรกดังได้กล่าวไว้แล้ว) จึงเรียกน้องพนักงานเสิร์ฟมาถามว่า ปลาทูอะไร ตัวใหญ่จัง?

น้องตอบว่า “ปลาทูโอมานค่ะ…ร้านเราสั่งมาจากกรุงเทพฯ ที่เขาเป็นเอเย่นต์ให้เราโดยเฉพาะ”

ทำให้ผมได้ความรู้ว่า เจ้าปลาทูยักษ์ที่วางคู่มากับผักต้ม ผักสด และนํ้าพริกกะปิตัวนี้ไม่ใช่ปลาทูไทย แต่เป็นปลาทู “อิมพอร์ต” หรือ “ปลาทูนำเข้า” จากประเทศ โอมาน ตะวันออกกลาง

รสชาติแม้จะไม่อร่อยเท่าปลาทู “หน้างอคอหัก” ของเรา แต่ก็เป็นรสชาติ “ปลาทู” ครับ…สมมติว่าตักมาให้เรารับประทานชิ้นหนึ่ง โดยไม่เห็นตัวปลาแล้วให้ทาย ทุกคนก็จะทายว่าปลาทู ไม่มีทางที่จะทายเป็นปลาอย่างอื่นไปได้

ถามว่าเข้ากับนํ้าพริกกะปิไหม? ก็ต้องตอบว่า…ถ้าไม่มีปลาทูไทยจริงๆ ก็ใช้ปลาทูโอมานนี่แหละแทนได้เลย

ผมกลับถึงบ้านก็เข้าถาม “อากู๋” กูเกิลเช่นเคย ได้รับคำตอบว่าปลาทูต่างประเทศ หรือปลาทูอิมพอร์ตเข้ามาสู่เมืองไทยเราหลายปีแล้ว มีทั้งปลาทูอินเดีย มาเลเซีย บังกลาเทศ และก็โอมานนี่แหละ

มีการเสนอข่าว “ปลาทูโอมาน” เข้าไทยตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา มีการตั้งกระทู้ในท้ายข่าวของสื่อหลายๆฉบับ…ว่าเหตุที่เราต้องสั่งปลาทูนอกเข้ามาก็เพราะคนไทยเราบริโภคปลาทูเก่งมาก แถมจับลูกปลาทูไทยมากินด้วย ทำให้ปลาทูไทยโตไม่ทันรับประทาน

ตัวเลขคร่าวๆ ที่พอจะค้นเจอระบุว่าคนไทยบริโภคปลาทูกว่า 4 แสนตันต่อปี และเป็นปลาทูที่จับได้ในทะเลบ้านเรา แค่ 1 แสนตันเท่านั้น ที่เหลือเป็นปลาต่างประเทศหมด

ก็ไม่แปลกหรอกสำหรับการนำเข้าสินค้าโน่นนี่ของประเทศไทย เพราะอะไรที่เราผลิตไม่ได้ก็ต้องซื้อเขา…ต้อง อิมพอร์ต หรือ “นำเข้า” เป็นธรรมดาอยู่แล้ว

แต่กับกรณีของปลาทู “โอมาน” จากตะวันออกกลางเนี่ย ฟังแล้วก็แปลกอยู่พอสมควร…ถ้าเป็นนำเข้า “น้ำมันดิบ” ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่นี่ดันนำเข้า “ปลาทู” จะไม่ให้แปลกได้ไงล่ะ

การที่เราต้องนำเข้า “ปลาทู” แบบนี้จะถือว่า “น้ำพริกปลาทู” เป็นอาหารประจำชาติได้ไหมครับ ท่านรัฐมนตรีวัฒนธรรมครับ?

และท่านอธิบดีกรมประมงครับ…เราจะมีทางแก้ปัญหาเรื่องปลาทูไทยโตไม่ทันกินได้หรือไม่? และอย่างไรบ้างครับในวันข้างหน้า?

“ซูม”

ข่าว, น้ำพริก, ปลาทู, โอมาน, เมนู, อาหาร, ประจำชาติ, ไทย, อยุธยา, ซูมซอกแซก