หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับรายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลายๆ เขต หลายๆ อำเภอ รวมทั้งจังหวัดต่างๆ อีกหลายจังหวัดยังคงจัดกิจกรรม เนื่องใน “วันแห่งความรัก” หรือ “วันวาเลนไทน์” เช่นเดียวกับปีก่อนๆ
แม้ขนาดของกิจกรรมจะลดลงมาก แต่ก็ยังมีการจัดงานอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจดทะเบียนสมรสในวันพิเศษและการทำพิธีแต่งงานที่มีลักษณะโดดเด่นไม่ซํ้ากับใครๆ เช่น ลงไปแต่งใต้ทะเลบ้าง หรือแต่งบนหลังช้างบ้าง ฯลฯ ยังคงมีการดำเนินงานดังเช่นทุกปี
มีหน่วยราชการหนึ่งไม่ได้จัดกิจกรรมอะไรในลักษณะเช่นที่กล่าวมาข้างต้น แต่ก็อาศัยกระแสความฮิตของวันวาเลนไทน์ จัดแถลงข่าวในเรื่องที่เกี่ยวกับการแต่งงาน การอยู่กินร่วมกัน และการอยากให้คนไทยมีบุตรธิดามากขึ้นในอนาคตในวันเดียวกันนี้
กระทรวงสาธารณสุข โดยท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ คุณสาธิต ปิตุเตชะ นั่นแหละครับ มาพร้อมกับท่านอธิบดีกรมที่เกี่ยวข้องและสถาบันที่เกี่ยวข้อง เปิดแถลงข่าวให้ทราบถึงปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งที่ประเทศไทยของเรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
หัวข้อข่าวที่ท่านมาตั้งโต๊ะแถลงที่โรงแรมพูลแมน ซอยรางนํ้า ได้แก่ “ทางออกของประเทศไทยในยุคเด็กเกิดน้อย” ที่ระยะหลังๆ นี้มีการพูดถึงด้วยความห่วงใยมากขึ้น และบ่อยครั้งมากขึ้น
เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีการจัดประชุมสัมมนาในหัวข้อนี้ พร้อมกับประเด็นที่แสดงถึงความกังวลใจ จากการที่เด็กเกิดน้อยลงย่อมจะมีผลทำให้ประชากรของประเทศไทยน้อยลงหรือลดลงอย่างแน่นอน
ทุกวันนี้เรามีประชากรประมาณ 66 ล้านคน แต่อาจจะได้เห็นว่าลดลงเหลือ 40 ล้านคน ในเวลาอันไม่นานนักจากนี้เป็นต้นไป
รัฐมนตรีช่วยฯสาธิตกล่าวตอนหนึ่งว่า ในอนาคตประชากรของเราจะมีอายุเฉลี่ยมากขึ้น จาก 70-80 ปี เป็น 90-100 ปี…ทำให้คนในวัยทำงาน 1 คน จะต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูทั้งคนแก่และเด็กที่หนักมาก
“ดังนั้น จึงต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาตั้งแต่วันนี้ ด้วยการพยายามปรับแก้ค่านิยมให้คนมีลูกมากขึ้น ทั้งนี้การแก้ปัญหาต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ทั้งข้าราชการประจำและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด”
“ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลกี่รัฐบาล เปลี่ยนปลัดกระทรวง เปลี่ยนอธิบดีไปกี่คน…เราก็จะต้องทำเรื่องนี้ต่ออย่างมุ่งมั่น” ท่านรัฐมนตรีสาธิตสรุป
จากนั้นก็มีท่านอธิบดีกรมอนามัยและคุณหมอที่เกี่ยวข้องอีกหลายๆท่านมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม โดยเฉพาะเหตุแห่งปัญหาที่ทำให้อัตราเกิดลดลง ซึ่งก็ทราบดีอยู่แล้วว่าส่วนใหญ่มาจากปัญหาทั้งเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันนั่นเอง
การมีลูกแต่ละคน จะต้องใช้เงินใช้ทองในการเลี้ยงดูและส่งเสริมให้มีการศึกษาค่อนข้างสูง ทำให้พ่อแม่คิดมากว่าควรจะมีลูกดีหรือไม่?
ประกอบกับสังคมยุคใหม่คนแต่งงานช้าลง เพราะต้องรอให้พร้อมเสียก่อน ทั้งในด้านการงานและฐานะที่จะเลี้ยงดูบุตร…เมื่อยิ่งแต่งช้ายิ่งอายุมาก ก็ยิ่งมีบุตรยาก ฯลฯ และ ฯลฯ
ผมเองในฐานะคนเขียนหนังสือ ที่เคยเขียนช่วยราชการยุคก่อน หรือสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเมื่อ 50 ปีก่อน ที่บอกว่า “ลูกมากจะยากจน” ขอให้ประชาชนมีลูกน้อยๆ…อ่านถ้อยแถลงของท่านแล้วก็รู้สึกใจหายและมองว่าตัวเองก็มีส่วนผิดอยู่ด้วยเหมือนกัน
ดังนั้นมาถึงวันนี้…วันที่ประเทศชาติต้องการในสิ่งที่ตรงข้ามกัน…คืออยากให้ประชาชนชาวไทยกลับไปมีลูกมากๆ อีกครั้ง ผมก็พร้อมที่จะไถ่โทษตัวเองช่วยเขียนรณรงค์อีกแรงหนึ่ง
แต่ก็ยังหนักใจว่าอาจจะช่วยไม่ได้มากนัก เพราะ “สื่อหลัก” อย่างพวกเรายุคนี้ค่อนข้างจะอ่อนพลังลงไปมาก
คงต้องฝากท่านรัฐมนตรีสาธิตกลับไปว่า คงต้องใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือโซเชียลต่างๆ ให้มากขึ้น และอาจต้องหาใครสักคนมาเป็น “พรีเซนเตอร์” แบบคุณ มีชัย วีรไวทยะ ยุคก่อน
คุณมีชัยมาแนะนำให้คนไทย “สวมถุงยางอนามัย” จนประสบความสำเร็จล้นพ้น คนไทยเกิดน้อยลงมาจนถึงปัจจุบัน…ผมก็ได้แต่หวังว่าจะมีใครสักคนมาช่วยเชิญชวนคนไทยให้อยากมีลูกมากๆ ทำตรงข้ามกับที่คุณมีชัยเคยทำ
ถึงเวลาแล้วครับ ที่เราจะต้องเร่งรัดนโยบาย “มีลูกเพื่อชาติ” กันอย่างจริงจังก่อนที่จะสายเกินไป.
“ซูม”