วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2565) ตรงกับ “วันเลนไทน์” หรือ “วันแห่งความรัก” ตามธรรมเนียมฝรั่งที่คนไทยหันมายอมรับอย่างกว้างขวางจนแทบจะกลายเป็นธรรมเนียมไทยๆ ไปแล้วเช่นกัน
ตอนที่ธรรมเนียมนี้เข้ามาใหม่ๆ และเริ่มฮิตราวๆ พ.ศ.2510 เศษๆ นั้น ผมยังหยิบมาเขียนกระแหนะกระแหนอยู่เลย เพราะคนไทยรับของเขามาแบบไม่เต็มร้อย
คือเลือกมาเฉพาะ “ความรัก” แบบ รักๆ ใคร่ๆ เท่านั้น…มิใช่ความรักในทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวทั้งหมด เช่น รักพ่อ รักแม่ รักพี่ รักน้อง รักเพื่อนๆ ทั้งเพื่อนที่อยู่ใกล้ชิดและเพื่อนร่วมโลกทุกๆ คน
ทำให้ “วันวาเลนไทน์” กลายเป็นวัน “เสียสาว” หรือ “เสียรู้” ที่ทำให้เด็กสาวๆ หลายคนต้องเจ็บปวดไปตลอดชีวิต
มาในระยะหลังๆ เริ่มมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น มีการจัดงานที่ชี้นำหรือนำไปสู่ความรักที่ถูกครรลองคลองธรรมมากขึ้น เช่น การจัดงานแต่งงานพิเศษต่างๆ…จัดพิธีจดทะเบียนสมรสให้เป็นกรณีพิเศษของเขต และอำเภอต่างๆ ฯลฯ
ในขณะที่วัน “เสียรู้” แม้จะยังมีอยู่ แต่ก็น้อยลงมาก หลังจากพ่อแม่ผู้ปกครองและครูอาจารย์หันมาให้ความเอาใจใส่ และให้ความใกล้ชิดแก่เด็กหนุ่ม เด็กสาว พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงผลเสียของการมีความรักก่อนวัยอันสมควร…ทำให้เกิดการระมัดระวังตัวมากขึ้น
ผมก็เลยเลิกกระแหนะกระแหน และปรับเปลี่ยนมาเขียนในเชิงเห็นด้วย …แม้จะไม่เขียนถึงทุกปี…แต่ในปีใดที่เขียนก็จะพยายามมองในแง่ดี… โดยยึดหลักว่าคนรักกันย่อมดีกว่าเกลียดกัน หรือโกรธกัน ขอเพียงให้รักอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเท่านั้น
ดังเช่นที่ผมจะหยิบมาเขียนถึงในวันนี้ ก็เพราะผมรู้สึกว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ คนไทยเราเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก…จากคนอารมณ์ดี กลายเป็นคนอารมณ์ร้อนไปได้อย่างเหลือเชื่อ
หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านก็เจอแต่ข่าวทะเลาะกัน…โดยเฉพาะข่าวการเมืองรัฐบาลกับฝ่ายค้านด่ากันแทบทุกวัน…ประชดประชันกันทุกวัน…ด้อยค่ากันทุกวัน
นอกจากทะเลาะในเชิงปะทะคารมแล้ว…ยังมีการออกแอ็กชัน…เช่น รวมหัวกันไม่เข้าประชุมสภาบ้าง…ทำให้สภาล่มแล้วล่มอีกถึง 17 ครั้ง 18 ครั้ง
นอกจากบรรยากาศความไม่ค่อยรักกันในทางการเมืองแล้ว…ความแตกแยกในทางความคิดระหว่างประชาชน 2 กลุ่ม ก็นับวันจะมีมากขึ้นเช่นกัน
แม้ความขัดแย้งในที่สาธารณะจะลดลงไป นานๆ จะมีมาเป็นข่าวบ้าง…แต่ถ้าเราไปดูในสื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดียจะพบว่าความขัดแย้งยังรุนแรงอยู่มาก และดูจะมากขึ้นทุกวันด้วยซํ้า
ทำให้ผมอดที่จะขอบคุณเสียมิได้สำหรับใครก็ตามที่เป็นผู้นำธรรมเนียมฝรั่งว่าด้วย “วันแห่งความรัก” เข้ามาสู่ประเทศไทย
ผมเคยสันนิษฐานว่ามาจากบาร์ จากไนต์คลับข้างฐานทัพสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ.2510 กว่าๆ ไม่ว่าจะเป็นอู่ตะเภา, ตาคลี, อุดรธานี, อุบลราชธานี ฯลฯ ที่มีทหารสหรัฐฯ มาประจำการอยู่มาก
พอถึงเทศกาลวาเลนไทน์ บรรดาเจ้าของบาร์ เจ้าของไนต์คลับ ก็โปรโมตกิจการบาร์ กิจการไนต์คลับเอาใจทหารสหรัฐฯ จัดงาน วาเลนไทน์ ขึ้นตามธรรมเนียมที่ฮิตมากที่สหรัฐฯ
หรืออีกทางหนึ่งก็น่าจะมาจากห้างสรรพสินค้าทั้งหลายแหล่นั่นแหละที่ต้องการโปรโมตการขายสินค้า และสร้างบรรยากาศให้คนไปเที่ยว…จึงจัดงานวันวาเลนไทน์กันอย่างใหญ่หลวง
แต่จะมาจากทางไหนก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าผมขอขอบคุณก็แล้วกัน…เพราะอย่างไรเสีย “ความรัก” ย่อมดีกว่า “ความชัง” อย่างที่ว่า
เนื่องในวัน “วาเลนไทน์” มาบรรจบในวันนี้และเมื่อยอมรับเป็นธรรมเนียมไทยๆ ไปด้วยแล้วเช่นนี้ ผมก็ขอทำตามธรรมเนียมไทยอีกอย่างคือจุดธูปบูชาเทพเจ้าแห่งความรัก ตามที่คนไทยนับถืออยู่ในปัจจุบัน
อันได้แก่ พระตรีมูรติ หน้าเซ็นทรัลเวิลด์, พระแม่อุมาเทวี (วัดแขกสีลม), พระแม่ลักษมี (เกษรวิลเลจ แยกราชประสงค์) และ พระกฤษณะ (วัดเทพมณเฑียร เสาชิงช้า) ฯลฯ
โปรดดลบันดาลให้คนไทยหันหน้าเข้าหากัน รักใคร่กลมเกลียวกัน เลิกแบ่งพรรคแบ่งพวกทางการเมือง และเลิกแตกแยกทางความคิดนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเถิด
แม้จะรู้ว่ายาก แต่ลูกช้างก็อยากได้ขอรับ บ้านเมืองเราจะได้สุขสงบ สามารถก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างปลอดภัยและมั่นคงกันเสียที.
“ซูม”