ตั้งแต่ผมจำความได้และร้องเพลงชาติไทยได้ ผมก็รู้สึกนึกรัก ประเทศไทยและสถาบันหลัก 3 ประการของคนไทยอันได้แก่ “ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์” ที่สะท้อนผ่านสีแดง สีขาวและสีน้ำเงินของธงชาติไทย…โดยไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยใดๆ เลย
ช่วงที่ผมยังเป็นเด็กใช้ชีวิตอยู่ที่อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ “ชาติไทย” หรือ “ประเทศไทย” ของผมจึงมีขนาดเท่ากับตลาดไม้เล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริม 2 ฟากฝั่งแม่น้ำปิง หน้าอำเภอบรรพตพิสัยเท่านั้น
แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้รักและภูมิใจในประเทศไทยเล็กๆ ของผมอย่างมากแล้ว เพราะผู้คนที่นี่อยู่กันอย่างพี่อย่างน้องอย่างรักใคร่กลมเกลียว
แถมในแต่ละปียังมีงานบุญ มีงานประเพณีและมีอะไรต่างๆ อีกมากมาย ที่ทำให้เด็กๆ อย่างผมมีความสุข มีความสนุกสนาน เป็นที่สุด
พอผมเติบโตมาเรียนชั้นมัธยม พ่อแม่ส่งไปอยู่กับเถ้าแก่กงสีที่ปากน้ำโพ ทำให้ประเทศไทยของผมใหญ่ขึ้นมาอีกไม่น้อยเลย
เป็นความใหญ่ขึ้นที่อบอุ่นมาก ทั้งจากครูและโรงเรียนที่เรียนหนังสือจากชาวปากน้ำโพ และจากเมืองปากน้ำโพที่ผมยังผูกพัน และยังเขียนถึงงานประเพณี “แห่เจ้าพ่อเจ้าแม่” อันยิ่งใหญ่อยู่จนถึงวันนี้
ชาติไทยหรือประเทศไทยของผมใหญ่ขึ้นมาอีก เมื่อผมเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ จนในที่สุดก็ปักหลักทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ
อายุ 30 ปี ขาดเกินเล็กน้อย งานที่ผมทำมีส่วนที่จะต้องเดินทางไปทั่วประเทศ จะต้องบุกป่าฝ่าดงขึ้นเขาลงห้วยไปตามหมู่บ้านต่างๆ เท่าที่จะเข้าไปได้ทั่วประเทศ
มีโอกาสได้สัมผัสประเทศไทย ตัวจริงเสียงจริงอย่างเต็มตา
บอกได้เลยว่า ยิ่งทำให้ผมรักประเทศไทยขึ้นอีกมาก…รักพี่น้องชาวไทยทุกภาคไม่ว่าเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก…โดยเฉพาะตะวันออก เฉียงเหนือ และภาคใต้ตอนล่าง รักมากที่สุด
นี่คือความรู้สึกที่มีต่อ “สีแดง” ของผมในธงไตรรงค์
ในส่วนของ “สีขาว” หรือศาสนานั้นชาวบรรพตพิสัย 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ นับถือพุทธศาสนามาตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ทวด…ทำให้ผมเป็น ชาวพุทธทันทีที่ถือกำเนิด
แม้ในช่วงเด็กๆ ผมจะไม่ค่อยรู้หลักพระธรรมมากนัก แต่เมื่อผม โตขึ้นได้เรียนรู้มากขึ้น ได้อ่านหนังสือมากขึ้น ได้ศึกษา “ธรรมะ” มากขึ้น…มีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมของพระพุทธองค์มากขึ้น
ต้องกราบขอบพระคุณย้อนหลังไปถึงบรรพบุรุษของผมที่เลือกศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาประจำตัวผมตั้งแต่แรกเกิดมาจนถึงวันนี้
ซึ่งผมก็เชื่อว่าเพื่อนผมที่นับถือศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และทุกๆ ศาสนาที่มีอยู่ในประเทศไทยก็คงจะมีความรู้สึกภาคภูมิใจที่บรรพบุรุษของเพื่อนๆ ได้เลือกศาสนาเหล่านั้นไว้ให้
เพราะทุกๆ ศาสนาล้วนมีธรรมะและสอนให้คนทุกคนเป็นคนดี
สำหรับ “สีนํ้าเงิน” นั้น ผมเกิดในสมัยรัชกาลที่ 8 แต่จำความได้ และเริ่มเติบโตเข้าเรียนหนังสือในรัชกาลที่ 9
มีความรัก ความเคารพในหลวงรัชกาลที่ 9 อยู่แล้ว เพราะได้พบ ได้เห็น ได้อ่าน ทั้งข่าวและบทความที่เกี่ยวกับพระจริยวัตรและพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านผ่านสื่อต่างๆ มาโดยตลอด
ต่อมาเรียนจบและออกทำงานที่ต้องตระเวนไปทั่วประเทศไทยดังได้เล่าไว้แล้ว ผมก็ยิ่งรักและเคารพพระองค์ท่านท่วมท้นทวีคูณขึ้นไปอีก
เพราะอาจกล่าวได้ว่า แทบไม่มีท้องถิ่นอันไกลแสนไกลขนาดไหน ที่ผมและคณะเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ใน พ.ศ.นั้น…ที่พระองค์ท่านหรือ 2 พระองค์ อันหมายถึง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วย หรืออาจทุกพระองค์ด้วยซํ้า…ไม่เคยเสด็จฯ ไปเยี่ยมเลย
ทรงรักและห่วงใยในราษฎรของพระองค์…มีพระราชดำริสำหรับโครงการต่างๆ จำนวนมากมายไพศาล สำหรับพสกนิกรทุกแห่งหน
ผมจึงใคร่ถือโอกาสในวันนี้ ซึ่งครบ 5 ปี ของการเสด็จสู่สวรรคาลัย ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ผมรักและเทิดทูนยิ่ง…ร่วมแสดงถึงความภาคภูมิใจ ในสถาบันหลักทั้ง 3 ของประเทศไทย
เราอยู่กันมาได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพและมีความเจริญรุ่งเรือง สมแก่ฐานะ เข้าขั้นประเทศเจริญปานกลางค่อนข้างเหนือกว่าอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก ด้วยสถาบันหลักทั้ง 3 นี้
จงภูมิใจในสีทั้ง 3 สี อันได้แก่ “แดง-ขาว-นํ้าเงิน” สัญลักษณ์ของ 3 สถาบันดังกล่าวบนธงไตรรงค์ของเราเถิดครับ.
“ซูม”