เมื่อคํ่าวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคานํ้ามันดิบที่ตลาดนิวยอร์กพุ่งขึ้นอีก 1 เหรียญ 29 เซ็นต์ต่อ 1 บาร์เรล ปิดที่ 79 เหรียญ 59 เซ็นต์ต่อ 1 บาร์เรล…และมีรายงานด้วยว่าในบางช่วงเวลาขณะซื้อขายราคาทะลุเกิน 80 เหรียญต่อ 1 บาร์เรลไปแล้วด้วยซํ้า
นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2014 หรือร่วม 7 ปี เลยทีเดียวที่ราคานํ้ามันที่ตลาดสหรัฐฯขึ้นไปเกิน 80 เหรียญต่อ 1 บาร์เรล
ผมกลับไปเปิดดูสมุดบันทึกส่วนตัว ที่ผมชอบบันทึกข้อมูลที่น่าสนใจบางอย่างไว้ พบว่าเมื่อวันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ.2563 ราคานํ้ามันดิบที่ตลาดนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาปิดที่ 39 เหรียญ 60 เซ็นต์…ยังไม่ถึง 40 เหรียญต่อ 1 บาร์เรลด้วยซํ้าไป
นี่เพิ่งจะผ่านเดือนกันยายน 2564 มาไม่กี่วัน นับเวลาแล้วก็ประมาณปีเศษๆ นิดหน่อย…ราคานํ้ามันดิบขึ้นไปเกือบ 80 เหรียญซะแล้ว– เท่ากับขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1 เท่าตัวเลยนะครับ
ท่านที่ติดตามข่าวราคานํ้ามันมาตลอดคงจะทราบว่าราคานํ้ามันพุ่งขึ้นเร็วมาก นับตั้งแต่ต้นๆเดือนกันยายนที่ผ่านมา
สาเหตุหลักก็มาจากความเชื่อมั่นที่ว่าสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วอย่างยุโรปหรือสหรัฐฯ กำลังคลี่คลาย เศรษฐกิจจะค่อยๆ กลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้น
ความต้องการใช้พลังงานทั้งเพื่อการผลิตและการคมนาคมขนส่งย่อมจะเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ในขณะที่ปริมาณนํ้ามันมีจำกัด และไม่สามารถเพิ่มการผลิตได้เร็วนัก…โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตนํ้ามันรายใหญ่ อันได้แก่ โอเปก และพันธมิตร ซึ่งมีรัสเซียเป็นแกน ตกลงกันที่จะจำกัดการผลิตตั้งแต่ปีที่แล้วเพื่อป้องกันไม่ให้ราคานํ้ามันซึ่งเจอผลกระทบจากโควิด-19 อย่างแรง…ตกตํ่ามากเกินไป
ประกอบกับในช่วงโควิดระบาดก็แทบไม่มีการลงทุนขยายประสิทธิ ภาพการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันเอาไว้เลย
จะเร่งรัดให้ผลิตเพิ่มเยอะในช่วงนี้จึงทำไม่ได้…ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูดดังกล่าว
แถมยังมีท่าทีว่าจะเพิ่มไม่หยุดเสียอีกด้วย ถึงขนาดคาดการณ์กันว่าอาจจะขึ้นไปถึง 90 เหรียญต่อบาร์เรลในไม่นานเกินรอ และเมื่อผ่านปีใหม่ ไปแล้วโควิดทั่วโลกซาลงมากกว่านี้ อาจจะได้เห็นราคาน้ำมันดิบขึ้นไปแตะหลัก 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลก็เป็นได้
หากกลุ่มโอเปกพลัสหรือโอเปก+พันธมิตรจะยังไม่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตได้มากนัก
ที่สำคัญอย่าลืมว่าในยุโรปและสหรัฐฯกำลังเข้าสู่หน้าหนาว ซึ่งจะเริ่มหนาวหนักในเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป อีก 3 เดือนเต็มๆ ความ ต้องการที่จะใช้น้ำมันเพื่อผลิตพลังงานสู้ความหนาวก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วย
เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้นจะเกิดอะไรขึ้น?
แน่นอนต้นทุนการผลิตและการขนส่งสินค้าต่างๆ ก็จะต้องแพงขึ้นอันจะเป็นผลให้ราคาสินค้าแพงขึ้นเป็นเงาตามตัว…กลายเป็น “ภาวะเงินเฟ้อ”…ส่งผลกระทบต่อผู้มีรายได้ปานกลางลงไปถึงรายได้น้อยอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ที่น่าห่วงมากก็คือจะเกิดภาวะ Stagflation ตามมา…อันเป็นภาวะที่เงินเฟ้อสูง การว่างงานสูง ทำให้เศรษฐกิจหยุดการขยายตัว หรืออาจถดถอยลงด้วยซํ้าดังที่เคยเกิดขึ้นในยุค “นํ้ามันแพง” เมื่อ 40 ปีก่อนโน้น
รัฐบาลจะใช้มาตรการแก้ไขเยียวยาต่างๆ ก็ยุ่งยากมากๆ เช่น จะ กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดก็ต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพราะจะไปซ้ำเติมเงินเฟ้อ…แต่ไม่กระตุ้นเลยประชาชนก็ไม่มีกำลังซื้อ โอกาสฟื้นตัวแทบไม่มีเลย
สาเหตุมาจากราคา “น้ำมัน” ที่พุ่งพรวดๆ ขึ้นมาอย่างไม่ควร จะเพิ่มถึงขนาดนี้โดยแท้
ผมจึงได้ตั้งหัวเรื่องวันนี้ว่า…“โลก” ยังไม่พ้น “บ่วงกรรม” โควิดยังไม่ซา ราคาน้ำมันกลับพุ่งพรวดขึ้น
ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาน้ำมันนำเข้าเสียด้วยผลกระทบย่อมจะเป็นลูกโซ่ไปในทุกๆ ด้านมากกว่าประเทศอื่น
แปลว่าต้อง “รับกรรม” มากกว่าคนอื่นๆ ว่างั้นเถอะ นักการเมืองที่กำลังทะเลาะแย่งชิงอำนาจกันอยู่ขณะนี้จะรู้ตัวบ้างไหมหนอ? และเมื่อรู้แล้วจะหาทางจับมือ “แก้กรรม” กันอย่างไรก็เชิญนะครับ.
“ซูม”