เรื่องของ “พระภิกษุทั้ง 3” 2 รูปไลฟ์ดัง / 1 รูป “เขียน” ดี

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สังคมไทยมีการถกเถียงโต้แย้งแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอีกครั้งหนึ่ง สืบเนื่องมาจากการเทศนาแบบ “ไลฟ์สด” ของพระภิกษุ 2 รูป

เหตุเพราะลีลาการเทศนาของพระภิกษุทั้ง 2 รูปนี้ แตกต่างไปจากแนวทางและวิธีการเทศนาที่พระภิกษุส่วนใหญ่ใช้เทศนามาแต่โบร่ำ โบราณ…เข้าทำนองเทศนาไปหัวเราะร่วนไป…ปล่อยมุกเรียกเสียงฮาไป …แขวะการเมืองไป แขวะวัคซีนไป

พุทธศาสนิกชนที่ไม่คุ้นกับลีลาการเทศนาแบบนี้ จึงออกมาวิพากษ์ วิจารณ์กันยกใหญ่…ว่าวิธีการเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่?

ที่ผมบอกว่า ในที่สุดก็กลายเป็นเรื่องของการถกเถียง หรือแบ่งออกเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่ายอีกจนได้…ก็เพราะในขณะที่ฝ่ายหนึ่งออกมาวิพากษ์วิจารณ์ หรือตั้งประเด็นถามว่าเหมาะสมหรือไม่? ดังกล่าวข้างต้น

ก็มีอีกฝ่ายออกมาเชียร์มาแสดงความเห็นด้วยว่า พระทั้ง 2 รูปประพฤติปฏิบัติถูกต้องแล้ว เพราะเป็นการเทศนาในแนวใหม่ เพื่อให้ผู้คนหันมาสนใจในพระพุทธศาสนามากขึ้น

คงเป็นเพราะบางครั้งบางหน ท่านปล่อยมุกกระทบรัฐบาลเข้าให้น่ะซี้ ฝ่ายรัฐบาลถึงได้เดือดร้อน จะออกมาเล่นงานท่าน

จะหาเหตุออกมาจำกัดสิทธิท่านไม่ให้เทศนาในสไตล์นี้ เพียงเพราะพระทั้ง 2 รูป ไม่ได้เทศน์ชมรัฐบาลกระมัง?

ผมเองยังไม่ได้ฟังการเทศนาของท่านอย่างเป็นเรื่องเป็นราว…เพราะรสนิยมในการฟังเทศน์ของผมนั้นชอบแบบโบร่ำโบราณอย่างที่ว่า

ในยุค พระพยอม โด่งดังใหม่ๆ เทศน์ไปฮาไป ผู้คนฮิตมาก ผมฟังแล้วก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ฮิตไปตามผู้คนในยุคนั้น

แต่ก็มิได้มีความเห็นในเชิงต่อต้าน เพราะประการแรก พระพยอม ท่านเทศน์แบบขอประทานโทษ “หน้าตาย”…พูดไปเรื่อยๆ ไม่พูดคำหัวเราะคำ ถือว่ายังสำรวมอยู่

ที่สำคัญในการเทศน์แต่ละครั้ง ท่านจะสรุปสอนให้ผู้คนทำดีขยันหมั่นเพียร และที่โดดเด่นมากก็คือการต่อต้านการดื่มสุรา

ในกรณีของพระหนุ่มทั้ง 2 รูปนี้ ผมยังมิได้เข้าไปฟังท่านแบบเต็มๆ หรือยาวๆ แต่อย่างใด ฟังเฉพาะ…ที่มีการหยิบบางช่วงบางตอนมาเป็นตัวอย่าง ดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม แต่จะไปสรุปเช่นนั้นก็จะไม่เป็นธรรมแก่ท่าน เพราะผมไม่ได้ดูจนจบ

ก็ขอสรุปฝากเป็นข้อคิดไว้สำหรับท่านที่ฟังจนจบการเทศนาทุกครั้งของท่าน ให้ชั่งเอาว่า ระหว่างมุก ระหว่างลีลาการเทศน์ต่างๆ…กับ “สาระ” ที่เกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธองค์นั้นได้สัดได้ส่วนกันหรือไม่

ถ้ามุกหรือลีลามากไป…เทศน์จบแล้วผู้คนได้แต่เฮได้แต่ฮา หรือได้แค่ความมันส์ในอารมณ์ ทว่าไม่ได้ “สาระ” หรือ “แก่น” แห่งพุทธศาสนาติดสมองไปบ้างเลย ก็ฝากตำหนิท่านแทนผมด้วย

หากมั่นใจว่าฟังท่านจนจบได้เฮฮาไปแล้ว แม้จะรู้สึกไม่ชอบรัฐบาลขึ้นบ้างนิดหน่อย แต่คนฟังได้ข้อคิดดีๆ ได้หลักธรรมะไปใช้ในชีวิตมากกว่า …ก็ถือว่าท่านได้ทำหน้าที่ของพระนักเทศน์ว่างั้นเถอะ

ฝากข้อคิดเอาไว้เสร็จสรรพก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้รับหนังสือธรรมะเล่มหนึ่ง เขียนโดย พระเมธีวชิโรดม หรือ ว.วชิรเมธี แห่งศูนย์วิปัสสนาสากล ไร่เชิญตะวัน จังหวัดเชียงราย โน่นครับ

ท่าน ว.เป็นพระรุ่นใหม่เหมือนกัน แต่ก็มิได้เทศนาหวือหวาอะไรมาก…ท่านก็ว่าของท่านไปเรื่อยๆ สอดแทรกความรู้และหลักธรรมะได้อย่างแยบยล เป็นหนึ่งในพระภิกษุที่ผมชอบฟังเวลาท่านเทศน์

หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า “ชุบชูใจในยามวิกฤติ” เขียนขึ้นระหว่างถูกกักตัวอยู่ในศูนย์วิปัสสนาฯ ออกไปไหนไม่ได้ เพราะโควิด-19 อาละวาด ทำให้ท่านมีเวลาเขียนหนังสือให้กำลังใจผู้คนที่ยากลำบากในทุกเรื่อง รวมทั้งในเรื่องโควิด-19 ด้วยได้อย่างน่าอ่าน

บางมุกท่านก็ดูเหมือนจะสะกิดการเมืองอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะ “ท่านผู้นำ” ที่ท่านอยากให้บริหารประเทศชาติดีกว่านี้

แต่ท่านก็เขียนอย่างลุ่มลึกแบบ ว.วชิรเมธี ยกตัวอย่าง จอห์น เอฟ. เคนเนดี และนำปาฐกถาที่แสดงถึงวิสัยทัศน์เรื่องส่งคนไปดวงจันทร์และได้มีการปฏิบัติตามในที่สุดมาลงให้อ่านทั้งปาฐกถา

ผมชอบ “มุก” แบบนี้นะครับ เพราะไม่แขวะใครตรงๆ แถมสอนด้วย…คนอ่านก็ได้ความรู้และได้ธรรมะ (ของการเป็นผู้นำ) ไปด้วย

ทราบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่มีวางจำหน่าย…ใครมีโอกาสไปเชียงราย…แวบไปนมัสการขอท่านเองที่ไร่เชิญตะวันก็แล้วกันครับ.

“ซูม”

ข่าว, พระ, ภิกษุ, สงฆ์, เทศน์, ไลฟ์สด, เทศนา, ซูมซอกแซก