เป็นอันว่าตั้งแต่วันพุธที่ 1 กันยายน หรืออีกเพียง 2 วันนับจากวันนี้ ศบค.ท่านจะผ่อนคลาย “กฎเข้ม” ของการ “ล็อกดาวน์” ใน 29 จังหวัดพื้นที่สีแดงรวมทั้ง กทม.และปริมณฑลลงมาเปลาะหนึ่ง
มองในภาพรวมแล้วถือว่า “ผ่อน” ลงพอสมควรนะครับ…เช่น ให้เข้าไปนั่งรับประทานใน ร้านอาหาร ได้ 75 เปอร์เซ็นต์บ้าง 50 เปอร์เซ็นต์บ้าง ตามความเสี่ยงของร้านอาหารนั้นๆ
ขณะเดียวกันก็ให้ เปิดห้าง ได้ถึง 2 ทุ่ม โดยมีข้อจำกัดและเงื่อนไขสำหรับกิจกรรมบางประการ…รวมไปถึงร้านเสริมสวย สถานความงาม ก็สามารถเปิดให้บริการได้ ยกเว้นร้านนวดที่ให้เปิดเฉพาะนวดเท้า
ที่ผมคิดว่าน่าจะ “ถูกใจ” ประชาชนส่วนใหญ่มากกว่าเพื่อนก็คือ ในหมวด การเปิดใช้สนามกีฬาและสวนสาธารณะ นั่นแหละครับ โดยเฉพาะ สวนสาธารณะ ที่ในช่วงหลายๆ ปีมานี้ ประชาชนนิยมไปออกกำลังกายด้วยการเดิน หรือวิ่งกันมาก และโดนปิดไปด้วยนั้น จะกลับมา “เปิด” ได้เสียที
ครับ! ก็เป็นตัวอย่างบางกิจกรรมที่ได้รับการ “ผ่อนคลาย” เท่าที่ผมนึกออก…ท่านผู้อ่านที่สนใจในรายละเอียดคงต้องไปหาอ่านในหนังสือพิมพ์ที่นำตารางมาลงไว้หลายๆ ฉบับด้วยกัน
ในส่วนของความคิดเห็นนั้นเท่าที่ผมติดตามจากทั้งสื่อหลักและสื่อสังคมออนไลน์พบว่ามีทั้งเห็นด้วย และวิตกกังวลคละเคล้ากันไป
เสียงที่เห็นด้วยดูจะมีมากกว่า และส่วนใหญ่ก็คือ สมาคมการค้า สมาคมธุรกิจ ซึ่งกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ล็อกดาวน์มากว่า 50 วันแล้ว ถ้านับจากการประกาศครั้งแรกเมื่อ 12 กรกฎาคม
ทำให้เศรษฐกิจการค้าหยุดชะงักไปหมด โดยเฉพาะร้านอาหารไม่ต้องพูดถึง เมื่อนั่งรับประทานในร้านไม่ได้ ก็หายไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่ง
ดังนั้นการคลายล็อกดาวน์ครั้งนี้ แม้จะยังมีกฎกติกาหยุมหยิมอีกมากมาย แต่ก็ถือว่าดีกว่าเก่าหลายเท่า…โดยเฉพาะการให้นั่งรับประทานในร้านอาหารได้ตามเปอร์เซ็นต์ที่ว่า…ผมได้ยินท่าน นายกสมาคมภัตตาคาร ให้สัมภาษณ์ว่า จะช่วยเพิ่มยอดขายได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ และเม็ดเงินจะสะพัดไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว
ส่วนฝ่ายที่ไม่ค่อยเห็นด้วยและแสดงความห่วงกังวลไว้อย่างชัดเจน ก็คือบรรดาคุณหมอหลายๆ ท่านที่เป็นนักวิชาการอิสระประจำคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ
มีอยู่ท่านหนึ่งติงว่า ถึงแม้ยอดติดเชื้อใหม่เราจะลดลงมาต่ำกว่าวันละ 2 หมื่นราย หลายวันแล้วก็จริง แต่ก็ยังอยู่ที่ 16,000-17,000 ราย และบางวันก็ไปถึง 18,000 ราย ถือว่ายังเป็นตัวเลขที่สูงอยู่มาก
มาผ่อนคลายเสียอย่างนี้ เดี๋ยวก็เหมือนสหรัฐฯ เหมือนยุโรป หลายๆ ประเทศหรอกที่พอผ่อนแล้วตัวเลขติดเชื้อใหม่ก็พุ่งกระฉูดทันที และหลายๆ ประเทศยอดเสียชีวิตก็เพิ่มสูงด้วย เพราะกลายเป็นว่าคนติดเชื้อรอบใหม่คือผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเสียเป็นส่วนใหญ่ พอเป็นเข้าก็มีอาการหนัก และสำหรับผู้ที่มีภาวะเสี่ยงประจำตัวอยู่ ก็มักจะเสียชีวิต
ท่านจึงเตือนว่า ขออย่าได้ประมาท ขออย่าได้หลงผิดคิดว่าทุกอย่าง มันดีขึ้นแล้ว ฉันจะกลับไปลั้ลลาได้เหมือนเดิม
ขณะเดียวกัน ท่านก็ขอให้เร่งนำเข้าวัคซีนและเร่งฉีดวัคซีนอย่างเต็มที่ ซึ่งช่วงนี้เริ่มมีข่าวดีว่าวัคซีนที่เราสั่งไว้กำลังทยอยเข้ามาเป็นลอตๆ ยิ่งในเดือนหน้าก็จะยิ่งเข้ามามากขึ้น
ขอให้มีวัคซีนเข้ามาเถอะครับ ประสิทธิภาพในการฉีดของบุคลากรทางการแพทย์ของเราเยี่ยมอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ยอดฉีดทั้งประเทศสูงถึง 915,738 โดส หรือเฉียดๆ ล้านเป็นสถิติใหม่เลยทีเดียว
ผมสนับสนุนความเห็นคุณหมอในประเด็นนี้เต็มที่ วัคซีนอะไรมาก็ขอให้ฉีดเถิด…รวมทั้ง ซิโนแวค ซึ่งแม้ประสิทธิภาพในด้านป้องกันการติดเชื้อจะแพ้บางยี่ห้อก็จริง แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันการป่วยหนักและการตายเกิน 90 เปอร์เซ็นต์ไม่แพ้วัคซีนเทพใดๆ ทั้งสิ้น
ได้อะไรมาก็ขอให้ฉีดไว้ก่อนนะครับพี่น้อง… โปรดอย่ารอวัคซีน “เทพ” เด็ดขาด เพราะกว่า “เทพ” จะเสด็จมาอาจจะช้าเกินไป
สรุป…ขอบคุณ ศบค.ครับที่ช่วยผ่อนคลายให้บ้าง เทียบกับคดีดัง หน้า 1 วันนี้ ก็คือท่านตัดสินใจเจาะรูถุงพลาสติกดำที่คลุมหัว 29 จังหวัดสีแดง รวมแล้วหลายๆ รูช่วยต่อลมหายใจด้านเศรษฐกิจได้เยอะ
แต่ประชาชนก็ไม่ควรชะล่าใจและยังจะต้อง “ยกการ์ดสูง” กันต่อไป จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้นอย่างแท้จริง…ประมาทไม่ได้เลยครับ อย่างที่คุณหมอหลายๆ ท่านเตือนไว้.
“ซูม”