ผมขออนุญาตที่จะเรียนสรุปแนวคิดของผมในเรื่องเกี่ยวกับ “วัคซีน” ซึ่งเป็นความหวังของชาวโลกว่าจะเป็น “อัศวินม้าขาว” มาช่วยปราบ “โควิด-19”…อีกสักครั้งนะครับ
โดยความเห็นส่วนตัวของผม ซึ่งอาจจะผิดได้ (และผมขอภาวนาให้ผิด)…ผมมองว่ายังอีกนานกว่านักวิทยาศาสตร์จะค้นคิด “วัคซีน” ที่มีผล “ชะงัด” ในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์นี้ได้อย่างชนิดร้อยเปอร์เซ็นต์
ทุกวันนี้เท่าที่เราติดตามข่าว ยังไม่มีวัคซีนยี่ห้อไหน? ของประเทศไหน? สามารถการันตีได้ว่าให้ผลได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ
ที่สำคัญการนำมาฉีดทดลอง (ผมขอใช้คำว่า “ทดลอง” แม้จะฉีดกันอย่างจริงจังแล้ว) กับมนุษย์หมู่มากในหลายๆ ประเทศ ก็ยังไม่อาจยืนยันได้ว่า บังเกิดผลสัมฤทธิ์ในการป้องกันได้สักกี่มากน้อย
กรณีของ “ชิลี” ประเทศที่มีการฉีดเป็นอันดับสามของโลก แต่กลับมาระบาดใหม่อย่างหนักหนาสาหัสอีกครั้ง ทำให้หลายๆ ฝ่ายเริ่ม “สงสัย” ในคุณภาพของวัคซีน
โดยเฉพาะสื่อ “สหรัฐฯ” ถือเป็นโอกาสในการตั้งข้อสงสัย “วัคซีนจีน” ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมืองของสหรัฐฯ ในขณะนี้อย่างเปิดเผย เพราะวัคซีนส่วนใหญ่ที่ชิลีใช้ฉีดเป็นวัคซีนซิโนแวคจากจีน
ล่าสุด “เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล” เสนอข่าวในทำนองว่า ชิลี ใจเร็วเกินไป ที่ด่วน “คลายล็อก” ประเทศ รวมทั้งรีบเปิดประตูรับนักท่องเที่ยวต่างแดนหลังการฉีดวัคซีน “ซิโนแวค” ของจีนเพียงเข็มที่ 1
รวมทั้งประชาชนชาวชิลีที่ฉีดแล้วก็ประมาทด้วย และลืมไปว่าวัคซีนจีนจะมีประสิทธิผลก็ต่อเมื่อฉีดครบ 2 เข็มแล้วเท่านั้น
ในขณะที่ CNBC อีกหนึ่งสื่อสหรัฐฯ ก็รายงานว่า “การศึกษาโดย มหาวิทยาลัยแห่งชิลี พบว่า วัคซีน โคโรนาแวค ของจีนให้ผลสัมฤทธิ์เพียง 56.5 เปอร์เซ็นต์ หลังจาก 2 สัปดาห์ของการฉีดเข็ม 2 และสำหรับเข็มแรกมหาวิทยาลัยนี้พบผลสัมฤทธิ์แค่ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ 1 วัน กระทรวงสาธารณสุขชิลีออกมาแถลงว่าแม้วัคซีนจีนจะมีประสิทธิภาพในการ ป้องกัน การติดเชื้อโควิด-19 แบบแสดงอาการได้เพียง 67 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีผลค่อนข้างดีสำหรับการรักษาผู้ติดเชื้อที่มีการฉีดแล้ว เพราะสามารถป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสูงสุดถึง 85 เปอร์เซ็นต์ ป้องกันการเข้ารักษาตัวในหอผู้ป่วยหนัก (ICU) ได้ 89% และป้องกันการเสียชีวิตได้ถึง 80%
ไม่ว่าผลวิจัยของใครจะถูกหรือผิด? หรือเจตนาในการเสนอข่าวของสื่อมวลชนสหรัฐฯ จะเป็นเช่นไรก็ตามทีเถอะ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ชิลีครั้งนี้ และที่เกิดกับอีกหลายประเทศที่มีการฉีดวัคซีนหลายยี่ห้อไปค่อนข้างมาก แต่ยังมีการระบาดค่อนข้างสูง รวมทั้งสหรัฐฯ ด้วย น่าจะเป็นข้อเตือนใจชาวโลกได้เป็นอย่างดีว่า “วัคซีน” อาจไม่ใช่คำตอบเดียวของการต่อสู้กับ “โควิด-19”
เพราะอย่าลืมว่า เจ้าโควิด-19 มันก็ยังสู้กับมวลมนุษย์และวัคซีนทั้งหลายอยู่ด้วยการกลายพันธุ์ไปต่างๆ นานา…ดังที่เป็นข่าวในขณะนี้
นั่นก็แปลว่า สงครามครั้งนี้ยังไม่ยุติ ยังจะต้องสู้กันอีกหลายยก…ในขณะที่อาวุธที่มนุษย์พยายามคิดค้นขึ้นก็ยังไม่สามารถใช้ปราบปราม หรือจัดการกับโควิด-19 ได้อย่างราบคาบแต่ประการใด
เมื่อเรายังไม่อาจใช้วัคซีนเป็นอาวุธได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเช่นนี้… อาวุธสำคัญที่สุดก็คือ คาถาที่คุณหมอทั้งหลายท่านมอบให้แก่เรามาตั้งแต่ระบาดใหม่ๆ ต้นปี 2020 นั่นเอง
นั่นก็คือ จะต้องใช้ชีวิตอย่าง “นิวนอร์มอล” คือประมาทไม่ได้ และละเลยเรื่องกฎกติกาต่างๆ เช่น “สวมหน้ากาก+รักษาระยะห่าง+ ล้างมือบ่อยๆ” ไม่ได้ต่อไปอีกพักใหญ่ๆ
ล้วนแล้วแต่เป็นมาตรการที่น่ารำคาญที่ทำให้มวลมนุษย์อึดอัดและหลายประเทศทั่วโลกต่างก็ออกมาปฏิเสธอาวุธประการหลังนี้
พยายามจะกลับไปใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ร่าเริง และประมาทเหมือนเดิม ดังเช่นชาวอังกฤษที่รัฐบาลเพิ่งคลายล็อกให้เมื่อสัปดาห์ก่อน
ก็ดีเหมือนกัน ถือว่าเป็น “อังกฤษแซนด์บ็อกซ์” คือให้อังกฤษเขาทดลองให้ดูก่อน…ถ้ายังสนุกแบบนี้แล้วโควิด-19 ไม่กลับมาระบาดหนักก็แสดงว่าวัคซีนที่อังกฤษใช้ (ส่วนใหญ่น่าจะเป็น แอสตราเซเนกา) ได้ผล…ทั่วโลกจะได้เดินรอยตาม
แต่ถ้ากลับมาระบาดแบบระเบิดเถิดเทิงอีกรอบ…คราวนี้แหละ จะต้องเชื่อคุณหมอละ…ว่าใช้ “วัคซีน” อย่างเดียวไม่พอ จะต้องควบคู่ไปกับการใช้ชีวิต “วิถีใหม่” ที่เต็มไปด้วยความไม่ประมาทและไม่หลงละเลิงไปอีกหลายๆ ปี จนกว่าจะมีการคิดค้นวัคซีนที่ได้ผล สามารถจัดการเจ้าโควิด-19 ได้อย่างราบคาบนั่นแหละครับ.
“ซูม”