ข้อเขียนของผมวันนี้ (30 ธ.ค.) เป็นข้อเขียนชิ้นสุดท้ายของปี 2563 แล้วนะครับ เพราะพรุ่งนี้ (31 ธ.ค.) จะเป็นฉบับพิเศษส่งท้ายปีเก่าของไทยรัฐ ยกเนื้อที่ตรงนี้ให้เป็นเรื่อง “พิเศษๆ” 1 วัน
กลับมาอีกทีก็วันที่ 2 มกราคม ขึ้นศกใหม่เรียบร้อยโน่นละครับ
เป็นธรรมเนียมส่วนตัวของผมมาหลายๆ ปีแล้วว่า ข้อเขียนส่งท้ายจะเป็นการ “เหลียวหลัง” กลับไปมองว่าตลอดทั้งปีที่ผ่านมานั้นมีเหตุการณ์หรือเรื่องราวสำคัญๆอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ไม่ว่าจะ “ดีที่สุด” หรือ “ร้ายที่สุด” ก็ตาม…เพื่อที่จะหยิบมาบันทึกไว้สัก 1 หรือ 2 เรื่อง ให้คนรุ่นหลังที่อาจจะมาอ่านคอลัมน์นี้ได้รับรู้
ปีนี้ก็คงต้องทำเช่นนี้อีกแม้ไม่อยากจะบันทึกเอาไว้เลยก็ตาม เพราะเรื่องราวหรือเหตุการณ์อันเป็นที่สุดของปี 2563 ที่กำลังจะผ่านไปนี้กลายเป็นเรื่องที่ “โหดร้าย” ที่สุด และอยากจะลืมเป็นที่สุด
การระบาดของไวรัสมหาภัย “โควิด-19” ที่ยังคงเป็นข่าวใหญ่และยังคงระบาดอย่างต่อเนื่องแม้ในวันนี้นั่นแหละครับ
เกิดเรื่องเกิดข่าวเมื่อเดือนธันวาคมปีโน้นที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน แล้วค่อยๆ ระบาดไปโน่นไปนี่ทั่วโลก และมาถึงบ้านเราประมาณกุมภาพันธ์
จากนั้นเริ่มหนักขึ้นในเดือนมีนาคม-เมษายน ถึงขั้นต้องมีการ “ปิดประเทศ” มาจนถึงวันนี้
รวมทั้งต้องใช้นโยบายหยุดเชื้อเพื่อชาติ ประกาศภาวะฉุกเฉิน ปิดห้าง ปิดโรงเรียน ปิดร้านอาหาร ปิดแหล่งบันเทิง ฯลฯ
นำความเสียหายทางเศรษฐกิจมาสู่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง แรกๆถึงขนาดคาดกันว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะทรุดถึงร้อยละ 7 หรือ 8 เลยทีเดียว และอาจมีคนตกงานถึง 6 ล้าน 7 ล้านคน โดยเฉพาะในธุรกิจท่องเที่ยวที่พังพินาศ
ส่งผลให้รัฐบาลต้องใช้ทั้งเงินกู้ เงินงบประมาณด้วยการออก พ.ร.ก. 3 ฉบับ รวมวงเงินถึง 1.9 ล้านล้านบาท ในการจัดโครงการและแผนงานต่างๆเพื่อแก้ไขเยียวยา
ต่อมาพอจะเริ่มดีขึ้นบ้าง เพราะเราบริหารจัดการดี สาธารณสุขไทยเก่ง คนไทยร่วมมือกันดี สามารถหยุดเชื้อในประเทศได้เร็ว
คนไทยเริ่มออกเที่ยว เริ่มจับจ่ายใช้สอย ในขณะที่โครงการด้าน เศรษฐกิจของรัฐบาลก็เริ่มเห็นผล
นักเศรษฐศาสตร์ไทยเริ่มออกมายิ้มย่องผ่องใสมองว่าเศรษฐกิจของเราปีนี้อาจจะทรุดตั้งแต่ 5 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ ไปถึง 6 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ 7 หรือ 8 เปอร์เซ็นต์อย่างที่เคยกังวลในตอนแรก
ที่ไหนได้กลับเกิดเหตุการณ์โป๊ะแตก มีการระบาดรอบใหม่ โดยเริ่มจากกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่จังหวัดสมุทรสาคร
แผล็บเดียวแพร่กระจายไปทั่วประเทศไทยทำให้งานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของไทยเราหงอยลงถนัด
แผนท่องเที่ยวต่างๆ ของคนไทยต้องยกเลิกไป ส่วนมากห้างต่างๆที่เตรียมจัดงาน “เคาต์ดาวน์” ยิ่งใหญ่ก็ต้องงดก็ต้องเลิก
ตัวเลขเศรษฐกิจที่แท้จริงของปีจะพลิกไปอีกหรือไม่ จะกลับไปยํ่าแย่พอๆกับที่คาดไว้ช่วงแรกๆ หรือไม่คงต้องลุ้นกันต่อไป
ลำพังแค่เรื่องโควิด-19 กับปัญหาเศรษฐกิจก็ทำให้ห่อเหี่ยวท้อแท้มากพอแล้ว…ยังมีเรื่องการเมือง เรื่องขัดแย้งทางความคิด มีการประท้วงมีการก่อม็อบที่โน่นที่นี่อีกหลายครั้งหลายหน หลายสถานที่
การแสดงความคิดเห็นเพื่อขับไล่รัฐบาล หรือแสดงความเบื่อหน่ายรัฐบาลนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของคนไทย เพราะนายกรัฐมนตรีคนไหนอยู่เกิน 5 ปี 6 ปี คนก็เบื่อแล้ว
แต่ในช่วงหลังการประท้วงของม็อบกลับไปไกลถึงขั้นต้องการปฏิรูปสถาบัน พร้อมกับใช้ถ้อยคำที่หยาบคายจาบจ้วง
ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มมองเห็นและรู้ทัน จึงเข้าร่วมกับผู้ประท้วงน้อยลง
แต่กระนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็นำมาซึ่งความเจ็บปวดอย่างมาก เพราะไม่เคยเกิดมาก่อนในประเทศไทยของเรา
นี่แหละความโหดร้ายของปี 2563ในทัศนะของผม
ปีหน้าจะเป็นอย่างไร จะร้ายแรงแค่ไหน เป็นเรื่องที่เราไม่มีทางรู้ ก็ต้องรอให้มาถึงซะก่อนโน่นแหละถึงจะรู้
แต่ปีนี้เรารู้แล้วว่าเป็นอย่างไร…ใจจริงแล้วอยากจะยกมือไล่ซะเลยด้วยซํ้า แต่เราก็ไม่ใช่คนอารมณ์รุนแรง หรือหยาบกร้านอะไรอย่างนั้น
ก็ขอแค่โบกมือลาและกล่าวสั้นๆ ว่า “ลาทีปีโหด…รีบไปเร็วๆ เลยเจ้า 2563” เพียงเท่านี้ก็แรงพอแล้วละครับ.
“ซูม”