เมื่อช่วงสายๆ ของวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อนผมที่เป็นลูกศิษย์ของเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวชิโรดม หรือหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล ได้ส่งไลน์มาเข้ากลุ่มที่ผมเป็นสมาชิกอยู่ด้วยเพื่อแจ้งให้ทราบว่าเจ้าประคุณสมเด็จฯ มรณภาพแล้ว
โดยมีรายละเอียดของข้อความตอนหนึ่งว่า หลังจากที่หลวงพ่อวิริยังค์เข้ารับการรักษาอาการอาพาธที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2563 เป็นต้นมานั้น คณะแพทย์ผู้ดูแลรักษาได้ให้การรักษาอย่างใกล้ชิด เต็มความสามารถจนอาการดีขึ้นตามลำดับ
ต่อมาในวันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2563 หลวงพ่อมีอาการทรุดลงและได้มรณภาพด้วยอาการสงบด้วยโรคชราในวันอังคารที่ 22 เดือนธันวาคม พ.ศ.2563 เวลา 07.32 น.
สิริอายุ 100 ปี 11 เดือน 15 วัน 80 พรรษา
นับเป็นการสูญเสียพระผู้ใหญ่ที่ประชาชนชาวไทยให้ความเคารพนับถือและศรัทธาอย่างยิ่งไปอีกรูปหนึ่ง
ท่านผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์นี้มานานพอสมควรคงจะจำได้ว่าผมเขียนถึงท่านบ่อยครั้ง และครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2563 นี่เอง
เขียนเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบว่า หลวงพ่อมีอายุครบ 100 ปีแล้ว บรรดาลูกศิษย์ลูกหาจึงได้จัดงานฉลองอายุวัฒนมงคลขึ้นที่ศูนย์การประชุมไบเทค บางนา มีศิษย์ยานุศิษย์ไปร่วมงานแน่นขนัดไปหมด
เหตุที่ท่านมีผู้เคารพนับถือมากมายก็เพราะนอกเหนือจากท่านจะดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดธรรมมงคลมาเป็นเวลายาวนาน และได้เป็นประธานในการสร้างวัดต่างๆทั่วประเทศไทยถึง 15 วัด รวมทั้งที่แคนาดาอีก 5 วัดแล้ว ท่านยังเป็นผู้ให้กำเนิดสถาบันพลังจิตตานุภาพ ขึ้นอีกด้วย
สถาบันดังกล่าวที่มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Willpower Institute มีวัตถุประสงค์หลักในการมุ่งสอนให้ผู้คนรู้จักทำสมาธิเพื่อเพิ่มพลังจิตให้เข้มแข็ง และมุ่งมั่นในการกระทำความดี โดยไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดวัย และไม่จำกัดเชื้อ ชาติ ศาสนา
ท่านตั้งสถาบันและเปิดสอนหลักสูตรที่เรียกว่า “ครูสมาธิ” มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2541 มีสาขากว่า 130 แห่งทั่วประเทศไทย และในต่างประเทศ มีผู้เข้ารับการอบรมไปแล้วหลายๆรุ่นรวมหลายหมื่นคน
ด้วยเหตุนี้เองในงานฉลองอายุวัฒนมงคล 100 ปีของท่านที่ศูนย์การประชุมไบเทค บางนา เมื่อต้นปีจึงมีลูกศิษย์ลูกหาไปร่วมงานแน่นขนัด ดังที่ผมเขียนเกริ่นไว้ตอนต้น
ก่อนปิดงานเพื่อนผมที่ไปร่วมงานรายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ศิษยานุศิษย์ได้พร้อมใจกันสวดมนต์และตั้งจิตอธิษฐานที่จะกลับมาร่วมในพิธีเฉลิมอายุวัฒนมงคล 120 ปีของท่านในอีก 20 ปีข้างหน้าอีกครั้งหนึ่ง
แต่ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามหลักธรรมที่พระพุทธองค์สอนไว้ คือ ไม่มีสิ่งใดแน่นอน และยั่งยืนไปได้ตลอดกาล
เมื่อถึงเวลาจะต้องไปเราก็ต้องไป โดยไม่มีทางขัดขืนได้
หลวงพ่อท่านจึงอยู่เป็นหลักชัยให้แก่ศิษยานุศิษย์ได้อีกเพียง 11 เดือนเศษๆ เท่านั้น
สำหรับผมเองได้เคยเขียนไว้แล้วว่า มีโอกาสนมัสการสัมภาษณ์ท่านเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว เมื่อท่านไปสร้างอาคารเรียนให้แก่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา พร้อมกับนำข้อแนะนำในการปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีของท่านมาฝากท่านผู้อ่าน โดยเขียนถึงอยู่หลายวันในคอลัมน์นี้
แม้ผมจะมิใช่ลูกศิษย์ที่เคยเข้าเรียนในสถาบันพลังจิตตานุภาพ ของท่านมาก่อน แต่ก็ติดตามอ่านผลงานของท่านอยู่เสมอ รวมทั้งเมื่อมีโอกาสนมัสการสัมภาษณ์ก็เท่ากับได้ฟังได้ศึกษาธรรมจากท่านโดยตรง
ยังจำคำสอนเรื่องการทำสมาธิฉบับย่อของท่านได้จนถึงบัดนี้
“หากมีเวลาทำสมาธิก็ทำนะ แต่ถ้าไม่มีก็ขอให้ท่องคำว่า “พุทโธ” ก่อนนอนเท่าอายุก็แล้วกัน…โยมอายุเท่าไรก็ท่องเท่านั้นครั้ง…แล้วใจของโยมก็จะสงบและหลับสบาย”
ผมมิได้ท่องทุกคืน แต่ก็ท่องอยู่เสมอๆ เมื่อนึกขึ้นได้ จำได้ว่าท่องตั้งแต่ 40 กว่าครั้ง ตามอายุที่สัมภาษณ์ท่านครั้งแรก จนล่าสุดต้องท่องถึง 80 ครั้งแล้ว ตามอายุปัจจุบัน และยังตั้งใจที่จะท่องต่อไปตามอายุขัยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี
ในนามของพุทธศาสนิกชนที่เลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่งคนหนึ่ง ผมขอร่วมแสดงธรรมสังเวชในการจากไปของหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ไว้ ณ ที่นี้.
“ซูม”