คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ

คำถามที่พวกผมซึ่งอยู่ในแวดวงสื่อสารมวลชน ได้รับเสมอๆ เวลาออกไปเจอกับเพื่อนๆ ในอาชีพอื่นๆ ช่วงนี้ มีอยู่ 3 คำถามด้วยกัน

คำถามแรก…เรามาถึงจุดที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ได้ยังไง? คำถามที่สอง… เมื่อไรจะจบเสียที? และคำถามที่สาม…จะจบยังไงล่ะเนี่ย?

ซึ่งผมก็จะทำได้แค่ส่ายหน้า…ยิ้มแหยๆ พร้อมกับตอบด้วยคำตอบเดียวสำหรับทั้ง 3 คำถามว่า…ไม่รู้!

ก็ผมไม่รู้จริงๆ นี่ครับว่าเหตุการณ์อันเศร้าหมองที่เกิดขึ้นขณะนี้จะจบเมื่อไร? และจะจบอย่างไร ตามคำถามข้อสองและสามของเพื่อนๆ

อีกทั้งไม่อยากจะเดาด้วย เพราะในการเดานั้นจะต้องเดาทั้งในแง่ดีและแง่ร้าย

เดาในแง่ร้ายว่าจบไม่สวย ผมก็ใจเสีย และไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย…ครั้นจะเดาว่าจบลงด้วยดี เพื่อนก็จะต้องแย้งว่าเป็นไปได้ยังไง?

ผมจึงเลือกที่จะตอบว่าไม่รู้ และในช่วงหลังๆ เมื่อไปเจอเพื่อนกลุ่มอื่นๆ และยังมีคำถาม 2 ข้อนี้อีก ผมก็จะตอบแบบแทงกั๊กว่า…ประเทศไทยมีพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองอยู่ ก็ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดี!

ในส่วนของคำถามข้อแรกที่เพื่อนถามว่า…เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? นั้น ผมพอมีคำตอบอยู่บ้าง แต่ยังไม่แน่ใจ และไม่มีหลักฐานทางวิชาการพอที่จะนำมาใช้สนับสนุนได้ ผมก็เลยไม่กล้าตอบ

ที่นำมาเขียนวันนี้ก็ถือเสียว่าเป็นการตั้งข้อสงสัยเท่านั้นนะครับ ยังมิได้ฟันธงว่า “ผู้ต้องสงสัย” รายนี้คือสาเหตุที่ทำให้เรามาสู่จุดนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่อย่างใด

โซเชียลมีเดีย ไงครับ…เจ้า เฟซบุ๊ก, เจ้า ทวิตเตอร์, เจ้า อินสตาแกรม, เจ้า ไลน์, เจ้า ยูทูบ ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงนี่แหละคือ “ผู้ต้องสงสัย” ที่ผมตั้งเป็นข้อสังเกตไว้

เหตุเพราะข้อมูลข่าวสารที่ส่งเข้าโซเชียลมีเดียเหล่านี้ มีทั้งจริงบ้างเท็จบ้างดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว

แม้จะมีของจริงหรือเรื่องดีข่าวดีอยู่เยอะ แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์มักจะชอบอ่านข่าวร้ายและข่าวกุ หรือข่าวเป็นเท็จ แต่อ่านแล้วตื่นเต้นเสียมากกว่า

อ่านๆ ไปก็ชักจะเชื่อข่าวกุ ข่าวเท็จเหล่านั้นมากกว่าที่จะเชื่อข่าวจริงหรือเรื่องที่ดีงาม

กลุ่มที่ไม่หวังดีต่อประเทศไทย กลุ่มที่มองอีกมุมหนึ่งเกี่ยวกับประเทศไทย ที่ช่ำชองและรู้จักใช้โซเชียลมีเดียได้มากกว่าพวกเรา เขาก็ปั่นและปั้นเรื่องราวต่างๆ ออกมาเรื่อยๆ

คนรุ่นใหม่ที่มีโทรศัพท์มือถือเป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นเพื่อนสนิท เป็นคู่ทุกข์คู่ยาก เพราะตื่นขึ้นมาก็เปิดอ่านโซเชียลผ่านมือถือ…อ่านทั้งวัน ดูทั้งวัน…กดทั้งวัน…จนถึงเวลานอนนั่นแหละจึงจะวางลง

อ่านไปเรื่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ เขาก็คล้อยตาม และในที่สุดเขาก็เชื่อ

บอกแล้วไงครับ…ว่าผมเพียงแค่ตั้งข้อสังเกตหรือข้อสงสัยเท่านั้น ยังมิได้ปรักปรำร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าผู้ร้ายตัวฉกาจที่ทำให้ “โลกป่วน” และเมืองไทยของเราก็ “ป่วนด้วย” คือโซเชียลมีเดียนี่แหละ

แต่ถึงแม้นจะเป็นจริง…ผมคงจะไม่กล่าวโทษอะไรกับผู้ต้องสงสัยที่ว่านี้หรอกครับ นอกจากจะโทษตัวเอง โทษคนรุ่นผมหรือคนรุ่นหลังผมสัก 10 ปี ที่กำลังบริหารประเทศขณะนี้มากกว่า

โทษที่พวกเรา “เขลา” พวกเรา “เบาปัญญา” เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญแก่โซเชียลมีเดียต่างๆ จนเกิดผลที่ยากจะกู่กลับมาได้อย่างทุกวันนี้

สำหรับผมเองโดยส่วนตัวยิ่งไม่มีสิทธ์ิโกรธหรือด่าโซเชียลมีเดียได้เลย เพราะผมซึ่งเป็น “สื่อเก่า” เป็นไดโนเสาร์ที่กำลังถูกสื่อใหม่อย่างโซเชียลฯ เป็นอุกกาบาตไล่ชนจนแทบจะตกเวทีอยู่แล้วในขณะนี้

ด่าไปโทษไปว่าเพราะโซเชียลมีเดียนี่แหละที่ทำให้ประเทศของเราเป็นอย่างนี้…ผู้คนก็จะหาว่าผมลำเอียง เพราะโกรธที่โดนโซเชียลฯ เล่นงานจนแทบจะสูญพันธุ์อย่างที่ว่า

ผมถึงได้ออกตัวมาตั้งแต่ต้นว่า ที่เขียนมาทั้งหมดวันนี้ก็แค่ระบาย และปรึกษาหารือเท่านั้นเองครับ ไม่ได้กล่าวโทษโซเชียลฯ แต่อย่างใด

ระบายเสร็จ ปรึกษาท่านผู้อ่านเสร็จก็ตั้งสติสวดมนต์อยู่พักหนึ่ง

ขอให้สิ่งที่ดีงามของประเทศไทย โดยเฉพาะวัฒนธรรมประเพณีและขนบธรรมเนียมที่คนไทยยึดถือและปฏิบัติมาด้วยความรักและศรัทธา จงอยู่ยั้งยืนยงคู่ฟ้าคู่แผ่นดินไปตราบกาลนิรันดร์ด้วยเถิดครับ

ส่วนพวกโซเชียลมีเดียทั้งหลายก็พึงสังวรไว้ด้วย…โลกนี้ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนครับ…วันใดวันหนึ่งข้างหน้าอาจจะมี “มีเดีย” อย่างอื่น มาทำให้ “โซเชียลฯ” ยุคนี้สูญพันธุ์บ้างก็ได้…ใครจะรู้?

“ซูม”

โซเชียลมีเดีย, สื่อ, สื่อสารมวลชน, โทรศัพท์มือถือ, ซูมซอกแซก