บทเรียนในยุค “ช่องว่าง” กติกาบางข้อสำหรับ “คนรวย”

คดีทายาทกระทิงแดง จะจบลงอย่างที่สังคมไทยอยากเห็น หรืออยากให้เกิดขึ้น คือมีการรื้อฟื้นการดำเนินคดีขึ้นมาอีกหน เพื่อให้เรื่องไปสู่การพิจารณาของศาลในที่สุด…ซึ่งเมื่อดำเนินการครบถ้วนตามขั้นตอนแล้ว ศาลสูงสุดตัดสินว่าอย่างไร ก็ให้เป็นไปตามนั้น

เพราะประชาชนเชื่อมั่นในการพิจารณาของศาลสถิตยุติธรรมว่าจะเป็นไปด้วยความรอบคอบละเอียดลออ และให้ความเป็นธรรมแก่ทุกๆ ฝ่ายในระหว่างพิจารณา อันเป็นคุณลักษณะของศาลไทย ที่ประชาชนให้ความเชื่อถือและไว้วางใจมาทุกยุคทุกสมัย

มิใช่หลุดคดีไปได้ง่ายๆ เพียงแค่ขั้นอัยการ จากการทำสำนวนคดีใหม่ สืบพยานใหม่ของตำรวจ ซึ่งต้องขอประทานโทษที่จะต้องใช้คำพูดในลักษณะที่ว่า ประชาชนไม่ไว้วางใจเท่าไรนัก

ยิ่งมาเกิดขึ้นในคดีที่ผู้ต้องหาเป็นบุคคลร่ำรวย เป็นทายาทของคนรวยอันดับสูงของประเทศเช่นนี้ ความเคลือบแคลงต่างๆ ก็ยิ่งจะมีมากขึ้นอีกหลายเท่าพันทวี

ประกอบกับความเชื่อที่สะสมอยู่ในใจคนไทยมายาวนานว่า คนรวยทำอะไรไม่ผิด ทำผิดก็เป็นถูก จนถึงขั้นเกิดคำพังเพยขึ้นว่า “คุกมีไว้ขังคนจนเท่านั้น” ควบคู่ไปภาษิตกำลังภายในที่ว่า “เงินใช้ผีโม่แป้งได้”

กลายเป็นจุดระเบิดครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในสังคมไทย ดังเช่นที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ พร้อมกับเสียงเรียกร้องให้มีการรื้อฟื้นดำเนินคดีทายาทกระทิงแดงต่อไป

ดังนั้น หากว่าคณะกรรมการที่มีการตั้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายตำรวจ หรือฝ่ายอัยการ หรือแม้แต่ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งขึ้นมา อีกชุด…สามารถจะหาทางออกจนไปสู่การ รื้อฟื้นคดี ได้ก็จะเป็นไปตามสิ่งที่ประชาชนอยากเห็น และอยากให้เกิดขึ้นดังที่ผมเกริ่นไว้

ระหว่างที่รอข้อสรุปต่างๆ ของกรรมการทุกชุดอยู่นี้ ผมก็ถือโอกาสนี้ฝากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เป็นบทเรียนแก่ “คนรวยๆ” ของประเทศไทย เพื่อจะได้ระมัดระวังในโอกาสต่อไป

ท่านต้องเข้าใจเสียก่อนว่า โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น “คนรวย” ย่อมจะเป็นที่ “อิจฉา” ของ “คนไม่รวย” หรือ “คนจน” ต่างๆ อยู่แล้ว

ไม่ว่าท่านจะรวยมาด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างไรก็ตาม ด้วยความขยันขันแข็ง หรือด้วยมันสมองอันเลอเลิศก็ตาม…แต่เมื่อท่านมีเงินมีสมบัติพัสถาน มีข้าวของดีๆ บ้านหลังใหญ่หลังงาม รถคันใหญ่คันงาม คนที่เขาไม่มีย่อมรู้สึก “อิจฉา” อยู่ในใจไม่มากก็น้อย

เป็นความรู้สึกของมนุษย์ทั่วโลก และที่เกิดปัญหาความขัดแย้งรุนแรงขึ้นในต่างประเทศที่เจริญแล้ว เช่น สหรัฐฯ และยุโรปอย่างกว้างขวาง ในปัจจุบันนี้ก็ด้วยความรู้สึกที่ว่านี้นั่นเอง

ของเรายังโชคดีที่ผู้คนส่วนใหญ่ได้รับการสั่งสอนมานมนานให้เชื่อเรื่องบุญเรื่องวาสนา และนำเรื่องบุญเรื่องวาสนามาปลุกปลอบใจตัวเองจนดับความรู้สึกต่างๆ ในใจลงได้ จึงไม่เกิดเหตุขัดแย้งที่รุนแรงเหมือนชาติอื่น

เราจึงสามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้ คนรวยก็อยู่อย่างคนรวยไป คนจนก็อยู่อย่างคนจน ตราบใดที่คนรวยไม่ลงมารังแก ไม่มาใช้อำนาจบาตรใหญ่ หรือใช้อภิสิทธิ์ทำให้คนจนรู้สึกว่าโดนเอารัดเอาเปรียบ เราก็อยู่ร่วมกันได้แบบต่างคนต่างอยู่โดยไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง

หากท่านที่ร่ำรวยเข้าใจถึงข้อเท็จจริงของสังคมไทยในประเด็นนี้ ท่านจะรวยแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า ท่านจะใจบุญสุนทานเผื่อแผ่มาถึงคนจน หรือไม่ก็ไม่ว่า…ถ้าใจบุญด้วยก็จะเป็นเรื่องที่ดีและขอบคุณ

ขออย่างเดียว อย่าเอาความร่ำรวยมาข่มเหงรังแกคนจน หรือนำมาใช้เพื่อประโยชน์แห่งตน จนดูประหนึ่งว่าท่านอยู่เหนือกฎกติกาของสังคม ทำอะไรไม่เคยผิด เพราะสามารถใช้เงินจัดการได้…เป็นอันขาด

เพราะจะเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งดังเช่นที่เกิดขึ้นทั่วโลกในยุคปัจจุบัน

ที่ผมต้องขออนุญาตฝากบทเรียนบทนี้ไว้ก็เพราะอย่างที่ นักเศรษฐศาสตร์เขาบอกแหละครับว่า ทุกวันนี้…ยิ่งพัฒนา คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนอาจไม่จนลง แต่ก็เหมือนจนลง เพราะช่องว่างของรายได้ที่ห่างกันมากกว่า เมื่อ 10 หรือ 20 ปีก่อน

ผมจำไม่ได้แล้วว่า รายได้ของคนรวย 10 เปอร์เซ็นต์ข้างบนต่างกับรายได้ของคนจน 10 เปอร์เซ็นต์ข้างล่างเท่าไร…รู้แต่ว่ามันห่างขึ้นเรื่อยๆ

ถึงเวลาที่จะต้องท่องกติกาของการเป็น “คนรวย” ที่ดีกันให้ขึ้นใจแล้วละครับ เพื่อเราจะได้อยู่กันอย่างมีความสุข ทั้งคนรวย คนจนไปตราบกาลนิรันดร์.

“ซูม”

คดีทายาทกระทิงแดง, คนรวย, คนจน, ซูมซอกแซก