จากเหตุการณ์กลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุทำร้ายร่างกายคู่กรณีภายในโรงพยาบาลวิภาราม-ชัยปราการและโรงพยาบาลเมืองสมุทรปู่เจ้าสมิงพราย จ.สมุทรปราการ ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
ล่าสุด ฝ่ายสืบสวน สภ.สำโรงใต้ ได้ควบคุมตัว วัยรุ่นชาย-หญิง รวม 11 คน จากบ้านพักภายในซอยวัดมหาวงษ์ ต.สำโรงใต้ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
โดย 3 คนในจำนวนทั้งหมดเป็นบุคคลที่ปรากฏภาพในกล้องวงจรปิดขณะเกิดเหตุ ชกต่อยแพทย์และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลวิภาราม-ชัยปราการ ประกอบด้วย นายภาณุวัฒน์ หรือกั๊ก สุขแย้ม, นายนิพล หรือมิน วันชม อายุ 23 ปี และนายกานต์ หรือออม แสงชัย อายุ 21 ปี
ขณะที่ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีล่าสุดว่า ได้รับรายงานจาก สภ.สำโรงใต้ ได้แบ่งออกเป็น 3 คดี
– คดีแรกเหตุชุลมุนต่อสู้กัน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดภายในซอยโรงเหล็ก มีผู้ต้องหา 13 คน (สามารถพิสูจน์ทราบตัวได้แล้ว 2 คน ได้แก่ผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ) โดยยังอยู่ระหว่างสอบสวน ขยายผลและพิสูจน์ทราบผู้ก่อเหตุที่เกี่ยวข้องรายอื่นๆ
– คดีที่สอง เหตุร่วมกันบุกรุกโรงพยาบาลวิภารามชัยปราการและทำร้ายร่างกายบุคคลกรทางการแพทย์ มีผู้ต้องหา 2 คน (สามารถพิสูจน์ทราบผู้ต้องหาที่ก่อเหตุทั้ง 2 คนได้แล้ว)
– คดีที่สาม เหตุร่วมกันบุกรุก รพ.เมืองสมุทรปู่เจ้าสมิงพราย,ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บแก่กายและจิตใจ มีผู้ต้องหา 15 คน (สามารถพิสูจน์ทราบและควบคุมตัวได้แล้ว 11 คน โดยพนักงานสอบสวน จะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป)
รองโฆษกสตช. กล่าวอีกว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการให้เร่งติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด โดยกำชับ พล.ต.ท.อำพล บัวรับพล ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1)และพล.ต.ต.ชุมพล พุ่มพวง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ ให้เร่งดำเนินการเพื่อเรียกความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้กับประชาชนให้ได้โดยเร็ว
ทั้งนี้ สตช.ขอประณามการกระทำที่เกิดขึ้นและขอให้ทุกคนยุติความรุนแรงในสถานพยาบาล เพราะเป็นสิ่งที่ทุกๆ คนและสังคมยอมรับไม่ได้ ซึ่งอาจกระทบต่อการทำงานของบุคคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ที่อยู่ระหว่างการช่วยเหลือรักษาผู้ป่วยรายอื่นหรือทำให้ทรัพย์สิน อุปกรณ์ทางการแพทย์ได้รับความเสียหาย และอาจส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยหรือประชาชนคนอื่น ที่เข้ามาใช้บริการภายในโรงพยาบาล โดยขอให้ตระหนักว่า สถานพยาบาลต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัย สำหรับผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตความรุนแรงใดๆ ก็ตาม
อ้างอิง : Workpoint News