เป็นอันว่า “เคลียร์” ไปเรียบร้อยแล้วนะครับว่า ท่านโฆษกรัฐบาล ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ จะไม่ใช่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลคนใหม่อย่างที่เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐคนใหม่ท่านแถลงกับผู้สื่อข่าว ที่ทำให้สื่อความหมายไปได้ว่า จะเป็นเช่นนั้นในตอนแรก
ต่อมาทั้งคุณ อนุชา นาคาศัย เลขาธิการพรรค พปชร. ป้ายแดง และท่านหัวหน้าพรรค พปชร.ป้ายแดง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต่างก็ออกมาชี้แจงกับผู้สื่อข่าวตรงกันว่า
“อาจารย์แหม่ม” หรือ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ จะทำหน้าที่คุมทีมงาน เขียนนโยบายของพรรคเท่านั้น ไม่ใช่จะผลักดันให้ไปคุมงานเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้งหมด
ผมอ่านข่าวทั้งหลายทั้งปวงแล้วก็พลอยโล่งอกโล่งใจไปด้วย เพราะที่ผ่านมาผมเองก็เขียนแสดงจุดยืนอยู่ตลอดว่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเพิ่งไปเปลี่ยนทีมงานด้านเศรษฐกิจในช่วงนี้
แต่ถ้าจำเป็นจะต้องเปลี่ยนขึ้นมาจริงๆ ก็จะต้องเชื้อเชิญคนที่มีบารมี มีผลงาน มีประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ที่สังคมให้การยอมรับเข้ามาทำหน้าที่
เพราะในสถานการณ์เศรษฐกิจอันหนักหนาสาหัสที่เรากำลังเผชิญ และกำลังจะสาหัสเพิ่มขึ้นในอีกไม่นานข้างหน้านี้ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกๆ ฝ่าย
โดยเฉพาะทางฝ่ายภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ นักลงทุน หรือนักการธนาคาร ฯลฯ ซึ่งมีพลังและทรัพยากรทางเศรษฐกิจอยู่ในมือค่อนข้างสูง จะต้องเข้ามาช่วยในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเต็มที่
ถ้าได้ขุนพลเศรษฐกิจที่ไม่มีบารมี ไม่มีประสบการณ์เท่าที่ควร ใครเขาจะยอมรับ และพร้อมจะเดินตามรัฐบาลเล่าครับ
ผมเองมิได้ดูหมิ่นดูแคลนท่านอาจารย์แหม่มแต่อย่างใด เท่าที่ติดตามการแถลงข่าวของท่านมานานพอสมควร ผมก็ให้เครดิตท่านว่า มีความรู้ในทางเศรษฐกิจ การเงิน การคลังดีมากคนหนึ่ง
แต่จากการที่ท่านใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในแบบครูบาอาจารย์ หรือไปเป็นที่ปรึกษาโน่นนี่บ้าง ก็ไปอย่างที่ปรึกษา มิได้มีผลงานโดดเด่นเท่าไรนัก
ไม่น่าจะมีบารมีมากพอที่จะข้ามขั้นมาเป็นถึง “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” เพื่อสู้กับสงครามเศรษฐกิจที่ใหญ่หลวงครั้งนี้ได้
เมื่อข่าวสารในตอนแรกที่ว่าจะเป็นถึงขั้นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจนั้นไม่ใช่ข่าวจริง…ผมก็เบาใจลงในที่สุด และพร้อมจะให้กำลังใจแก่อาจารย์แหม่มในตำแหน่งที่เหมาะสมอื่นๆต่อไป
ด้วยใจจริงแล้ว ผมอยากเชิญชวนให้อาจารย์มหาวิทยาลัย หรือผู้บริหารในภาคธุรกิจเอกชนที่ประสบความสำเร็จกระโดดเข้ามาทำงาน การเมืองให้มากขึ้นด้วยซํ้า
เพื่อจะมาช่วยกันถ่วงดุล “นักการเมืองอาชีพ” บ้านเราที่ยังด้อยการพัฒนาอีกมาก และยังคงเล่นการเมืองแบบเก่าๆ ทำให้ระบอบประชาธิปไตยของเราต้องลุ่มๆ ดอนๆ ถอยหลังเข้าคลองอยู่เช่นนี้
แต่ก็นั่นแหละครับ คนเก่ง คนดี พอกระโดดเข้ามาจริงๆ ส่วนมากก็มักจะอยู่ไม่ทน เพราะไม่สามารถจะสู้กับลีลาและลวดลายของนักการเมืองเขี้ยวลากดิน ที่บุคคลในอาชีพอื่นๆ ยากจะทนทานได้
อย่างกรณีของ “4 กุมาร” พรรคพลังประชารัฐนี่แหละที่มาจากวงวิชาการจากภาคธุรกิจเอกชนด้วยความตั้งใจดี…อุตส่าห์ออกมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการตั้งพรรคนี้ ยังโดนฤทธิ์เดชของกลุ่มการเมืองล้าหลัง เล่นงานจนมีข่าวว่าอาจจะต้องอำลาจากพรรคไปเสียด้วยซํ้า
ใครจะไปนึกว่าจะมีวันนี้ วันที่กุมารทั้ง 4 อาจต้องหลบไปตั้งพรรคใหม่ หรือถ้าอยู่พรรคเก่าอาจจะไม่ได้ทำอะไรที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของท่านเท่าที่ควร
เสียดายโอกาสแทนประเทศไทยจริงๆ ครับ…ถ้าสถานการณ์การเมืองไทยยังเป็นเช่นนี้โอกาสประเทศไทยจะไปถึง 4.0 คงยาก
เฮ้อ! นี่ขนาดเจ้าตำรับ 4.0 มาเป็น รมต.เอง (ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์) ยังอาจจะต้องโบกมือลา…เจอการเมือง 1.0 เข้า ใครจะอยู่ไหวล่ะ!
ป.ล. ข้อเขียนวันนี้ ผมเขียนล่วงหน้าไว้ก่อนจะมีข่าวว่า กรรมการบริหารพรรค พปชร.บางท่านมีการประชุมและออกมาให้สัมภาษณ์ขับไล่ท่านรองฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ น่ะครับ จะเขียนอะไรเพิ่มก็ไม่ได้แล้ว นอกจากขอ ป.ล.หน่อยเดียวว่า…การเมืองบ้านเรายังเป็น 1.0 จริงๆ ครับ.
“ซูม”